Blink Blink
Latest news
TeslaUSA

[เจาะลึก]Tesla Bot หุ่นยนต์รูปร่างเหมือนมนุษย์จาก Tesla

วันพฤสหับดีที่ 19 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมาเป็นงาน AI Day ที่จัดขึ้นโดย Tesla ในงานนี้มีการเปิดตัวหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ (Humanoid Robot) ในชื่อ “Tesla Bot” ตอนท้ายของงานซึ่งกลายเป็นไฮไลท์(เด่น)ในงานนี้ไปเลย

ใครที่ติดตามผลงานของ Tesla มาตลอดจะทราบดีว่า Tesla ได้ก้าวไปไกลกว่าบริษัทที่ผลิตรถยนต์และโซลูชั่นด้านพลังงานไปนานมากแล้ว

ในโลกสมัยใหม่นี้ “ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI” (ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในโลกตอนนี้) มีส่วนช่วยเหลือมนุษย์ทำงานที่ซับซ้อนยุ่งยากให้เสร็จเร็วขึ้นและง่ายมากขึ้น ที่มาผ่านมานั้น โดยส่วนมาก บริษัทต่างๆ ระดับโลกจะใช้บริการจากบริษัทผู้พัฒนา AI เฉพาะทาง แต่ Tesla นั้นแตกต่างออกไป เพราะที่นี่มีแผนกพัฒนา AI นี้เป็นของตนเอง

จากรถขับเองไปสู่การสร้างหุ่นยนต์

เทสล่าเริ่มต้นที่พัฒนาระบบขับรถอัตโนมัติในรถยนต์ Tesla ด้วยตัวเองมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นก้าวแรกที่เทสล่าลุกขึ้นมาทำระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและก็ได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นการพัฒนา Hardware และ Software เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่น Tesla Supercomputer(dojo), Tesla FSD(Full Self-Driving), และ Tesla Chip D1 เป็นต้น

ดังนั้น เราอาจต้องเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับ Tesla ใหม่แล้วว่า เค้าไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรือโซลูชั่นด้านพลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นบริษัทที่พัฒนาหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์

Elon Musk ได้ประกาศการพัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ในชื่อ Tesla Bot พร้อมทั้งกล่าวว่า หุ่น prototype (ต้นแบบพร้อมใช้งานจริง)
ซึ่งจะพร้อมออกมาเริ่มใช้งานในปีหน้า

อันที่จริง รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ก็นับว่าเป็น “รถยนต์กึ่งหุ่นยนต์” หรือ “หุ่นยนต์ติดล้อ” อยู่แล้วอันเนื่องจากการที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติ(FSD : Full Self-Driving) ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม เทสล่าบอกว่า เค้าไม่ได้เริ่มการสร้างหุ่นยนต์ Tesla Bot จากศูนย์ เพราะว่าเค้ามีเทคโนโลยีเหล่านี้อยู่แล้ว เช่น หน่วยประมวลผลการขับขี่อัตโนมัติ , เซ็นเซอร์กะระยะรอบคัน , มอเตอร์ขับเคลื่อน, แบตเตอรี่, และชุดซอฟท์แวร์ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำมาประยุกต์ให้เป็นเทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ได้ทันทีอีกด้วย ทำให้ Tesla จึงตัดสินใจเข้าสู่การพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อกำหนดมาตรฐานขึ้นมา

หุ่น Tesla Bot สร้างมาเพื่ออะไร?

Tesla Bot สร้างขึ้นมาเพื่อการทำงานอันตรายแทนมนุษย์ รวมถึงการทำงานที่ซ้ำซาก น่าเบื่อที่ผู้คนไม่อยากทำ หุ่นจะเน้นการออกแบบมาเพื่อให้ทำงานช้าและไม่ได้มีพลังมากเกินไป เพื่อความปลอดภัย ในกรณีที่มีสิ่งผิดพลาด มนุษย์ยังสามารถหนี หรือ หยุดหุ่นยนต์ได้

สเปคของหุ่น Tesla Bot

  • ความสูง : 5 ฟุต 8 นิ้ว (173 ซม.)
  • น้ำหนัก : 125 ปอนด์ (57 กก.)
  • ความเร็วสูงสุด : 5 ไมล์/ชม. (8 กม./ชม.)
  • วัสดุ : วัสดุน้ำหนักเบา
  • เน้นให้มีความคล่องแคล่วเหมือนมนุษย์
  • มีระบบกลไกสำหรับเคลื่อนไหว 40 ตัว (mechanical actuators) อยู่ตามจุดต่างๆในตัวหุ่นยนต์ คือ
    • แขน 12 ตัว
    • มือ 12 ตัว
    • ขา 12 ตัว
    • ลำตัว 2 ตัว
    • คอ 2 ตัว
    • ขามีแกนหมุนแบบ 2 แกนสำหรับการทรงตัว และตรวจจับแรงสะท้อนกลับ
  • หน้าจอบนหัวสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ
  • คอมพิวเตอร์เป็น FSD (Full Self Driving)
  • กล้อง Autopilot 8 ตัว แบบเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์ Tesla
  • ระบบโครงข่ายกล้องวีดีโอ
  • ระบบ Auto Labeling (ระบบการจดจำสิ่งของและสามารถระบุความหมายหรือประเภทของสิ่งของ)
  • มีเครื่องมือการจำลองและฝึกฝน(Simulation & dojo training)

จากสเปคของหุ่นที่กล่าวมา ทำให้ Tesla Bot สามารถเคลื่อนไหวได้เองในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยไม่ต้องโปรแกรมการเคลื่อนไหวของหุ่นและยังสามารถรับคำสั่งต่างๆจากมนุษย์ได้ ตั้งแต่คำสั่งระดับง่ายๆ จนถึงระดับยาก เช่นการไปร้านค้าเพื่อซื้อของ

BLINK DRIVE TAKE by veexeezee

จากผู้ผลิตรถยนต์(ไฟฟ้า)สู่ผู้พัฒนาระบบซอฟท์แวร์เพื่อการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ล่าสุดกลายเป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์ ซึ่งเน้นว่าเป็นหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์แบบที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ทำให้ Tesla กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในยุคนี้

โดยส่วนตัว ผู้แปลชอบการพัฒนาหุ่นยนต์โดยมองถึงข้อเสียของการใช้งานด้วย ทาง Elon Musk จึงเน้นเรื่องการที่มนุษย์ยังต้องสามารถควบคุมหรือหนีจากอันตรายอันเกิดจากการทำงานของตัวหุ่นได้เพราะเมื่อหุ่นมีระบบ AI เรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตัวเองได้แล้ว จะมีพลังมากกว่าที่มนุษย์จะควบคุมได้แน่ๆ

หากใครเคยเล่นเกมส์ Detroit : Become Human มาก่อนน่าจะนึกภาพได้เลยว่าการปล่อยให้หุ่นยนต์ที่มี AI มีพลังมากกว่ามนุษย์ทั้งความเร็วและพละกำลังจะเป็นอันตรายแค่ไหน

ทั้งนี้เราคงต้องรอดูต่อไปว่าปีหน้า หุ่น Prototype ของ Tesla Bot จะแสดงศักยภาพออกมาได้แบบไหนบ้าง
เมื่อมันสมบูรณ์ในระดับที่ใช้งานได้เมื่อไหร่ โลกนี้คงเปลี่ยนไปทุกด้าน และเวลาที่จะเริ่มนี้ไม่น่าจะนานเกินกว่าที่เราจินตนาการไว้

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email