Blink Blink
Latest news
Compact CarEV Cars

Nissan Leaf e+ (60 kWh) เข้าอเมริกาและยุโรปกลางปีนี้ ราคา 1.25 ล้านบาท($39,000)

หลังจาก Nissan Leaf e+ เปิดตัวในงาน CES เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาง Nissan ก็ประกาศว่า จะวางขาย Nissan Leaf e+ ภายในเดือนมกราคมนี้ที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรก ด้วยราคา
 ¥4,162,320 หรือ 1.2 ล้านบาท ตามมาด้วยการประกาศขายในประเทศอเมริกาภายในเดือนเมษายนนี้ ส่วนยุโรปจะเป็นทวีปถัดมาที่จะวางขาย Nissan Leaf e+ ประมาณกลางปีนี้ โดยจะเริ่มวางขายที่ประเทศอังกฤษกับไอซ์แลนด์ก่อน

รูปภาพ : Nissan Leaf e+ ณ งาน CES 2019 เมือง Las Vegas
รูปภาพ : Nissan Leaf e+ ณ งาน CES 2019 เมือง Las Vegas

ก่อนอื่นเลยผมขอท้าวความกลับไปยังต้นกำเนิดของ Nissan Leaf คือ Nissan Leaf Gen 1 น่ะครับ ตอนนั้น Nissan Leaf Gen 1 ทำออกมาขายได้ทั้งหมด 380,000 คันทั่วโลก เรียกเสียงฮือฮาได้เยอะเลย โดยยอดขาย Nissan Leaf Gen 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเดียวก็ปาไป 128,000 คันแล้ว (อ้างอิงข้อมูลตาม link นี้เลย)

เมื่อปีที่แล้ว Nissan เพิ่งเปิดตัว Leaf รุ่น 40 kWh ไปเอง แต่มารอบนี้ ไม่สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้เหมือนรอบที่แล้ว แถมยังยอดขายไม่สู้ดีด้วย โดยมีหลายสำนักข่าวคาดการณ์ว่า มาจาก Battery ที่ต่ำไปนิด(40 kWh) แถมฟังชั่นในรถก็ไม่ได้หวือหวาเท่า Tesla Model 3 อีก ราคาก็เรียกได้ว่า แอบแพงหน่อยๆ ($29,900) หรือ 956,000 บาท [บางทีผมก็แอบอดอิจฉาคนอเมริกาไม่ได้จริงๆ เค้ามีโอกาสซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าประเทศของเรามากแต่ยังบ่นว่า รถยนต์ไฟฟ้าคันล่ะ 9 แสนบาทแพง แต่กลับหนีไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ที่ราคาเริ่มต้นคันล่ะ 1.4 ล้านบาท($46,000) กันไปแถว เนื่องด้วยเทคโนโลยี, แบตและการประกันที่ดีกว่ากระมั้ง

มาปีนี้ Nissan จับจุดได้ว่า ผู้บริโภคต้องการอะไรบ้าง ก็เลยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf e+ ซึ่งเป็นรุ่นพัฒนาต่อจาก Nissan Leaf มาต่อสู้กับ Tesla แบบเต็มตัวซะที

สิ่งเดียวที่ดูด้วยตาก็สัมผัสได้ว่าแตกต่างก็คือ ป้าย PLUS นี้ที่แปะมาเพิ่มในรุ่น e+

แม้ว่า ภายนอกและภายในของ Nissan Leaf e+ จะเหมือนรุ่นพี่อย่าง Nissan Leaf ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็มีบางส่วนที่ Nissan พยายามเพิ่มสมรรถภาพเข้ามาน่ะครับ ยังไงผมได้แยกออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้

ข้อแตกต่างระหว่าง Nissan Leaf e+ กับ Nissan Leaf

  1. Battery (แบตเตอร์รี่) จาก 40 kWh เป็น 62 kWh

รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf e+ นี้ใช้แบตขนาด 62 kWh ซึ่งให้ range(ระยะทางการวิ่ง)ออกมาที่ 364 km(226 Miles)

มารอบนี้ Nissan บอกเลิกกับบริษัทผู้ผลิตแบต LG chem แบบไร้เยื่อใย และเปลี่ยนไปใช้แบตที่โรงงานผลิตแบตของตัวเอง ณ รัฐ Tennessee ประเทศสหรัฐอเมริกา (ผมได้ทำการแนบคลิปการทำงานในโรงงานผลิตแบตของ Nissan Leaf e+ ตัวใหม่เป็นคลิปด้านล่างนี้น่ะครับ)

“ข้อดีของการผลิตแบตใหม่ขึ้นเองนี้ ทำให้ Nissan Leaf e+ มี Range(ระยะทางที่ขับได้)เพิ่มขึ้นอีก 25 % โดยตัวแบตนั้นขนาดเท่าเดิมทั้งหมด จริงๆ ก็สูงขึ้นมาอีกแค่ 0.5 เซนติเมตรเอง เพราะรุ่นใหม่ใช้ ล้อแม๊คขนาด 16 นิ้ว ดังนั้น แบตใหม่ไม่ได้กระทบการออกแบบภายในหรือภายนอกของรถเลย” – Nissan กล่าวเอาไว้

2. กำลังขับที่มากับแรงม้าที่เยอะขึ้น

รูปภาพ : ระบบขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf , ออกแบบให้เหมือนเครื่องยนต์มากๆ

มอเตอร์ของรถ Nissan รุ่น Leaf e+ ถูกเปลี่ยนจาก 110 kW เป็น 149 kW ทำให้กำลังแรงม้าของรถขยับจาก 150 แรงม้า ไปเป็น 200 แรงม้า แบบนี้สิถึงจะเอาไปซัดกับ Chevrolet Bolt หรือ Hyundai Kona EV ได้ซักหน่อย แต่ถ้าจะเอาอัดกับ Model 3 นั้นคงยากแหละครับ ขนาดรุ่นต่ำสุดของ Model 3 RWD ยังมีม้าถึง 283 ตัวเลย

รูปภาพ : ระบบขับเคลื่อน Nissan Leaf ต่อเข้ากับ battery ของรถ จะเห็นได้ว่า ชิ้นส่วนน้อยมากๆ

3. ชาร์จเร็วขึ้นด้วยระบบ CHAdeMO [ 100kW ]

ณ ปัจจุบัน Nissan Leaf รุ่นธรรมดาสามารถชาร์จไฟได้เร็วสุดที่ 50 kW จนถึง 80 % ของปริมาณแบต จากนั้น การชาร์จไฟจะถูกปรับลดลงไปเยอะมาก

ส่วน Nissan Leaf e+ นั้น สามารถทำการชาร์จเร็ว(fast charge) ได้มากถึง 100 kW ผ่านหัวชาร์จประเภท CHAdeMO (หัวชาร์จรุ่นมาตราฐานของญี่ปุ่น) ทำให้การชาร์จไฟเข้าแบตถึง 80 % สามารถทำได้ภายใน 30-40 นาทีเท่านั้น

รูปภาพ : หัวชาร์จไฟประเภทต่างๆ โดย Nissan Leaf จะสามารถรับได้ 2 ประเภท คือ CHAdeMO กับ CSS Combo 1 ครับ
รูปภาพ : Charge port + หัวชาร์จ CSS ของ Nissan Leaf

4. ราคา

Nissan Leaf รุ่นถูกสุดจะอยู่ที่ $29,900 หรือ 9.56 แสนบาท

Nissan Leaf e+ ราคาเริ่มต้นที่ญี่ปุ่น ¥4,162,320 หรือ 1.2 ล้านบาท

มีสำนักข่าวบางที่คาดการณ์เอาไว้ว่า ถ้าเอามาขายในอเมริการาคาจะประมาณ 39,000 เหรียญ หรือ 1.25 ล้านบาท

Blink Drive Take

ถ้า Nissan Leaf e+ เข้ามาตลาดภายในปลายเดือนหน้า(กุมภาพันธ์)นี้ Nissan จะมีช่องว่างเหลือให้เล่นอยู่เยอะครับ เพราะ Tesla Model 3 รุ่น 50 kWh ยังไม่ออกวางขาย แถมชิงขายตัดหน้า Hyundai Kona EV กับ Kia Niro EV ได้สบายๆ

ผมมองว่า Nissan Leaf e+ จะเข้ามาทำตลาดด้านล่างของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้คนที่ชั่งใจระหว่างรถยนต์ hybrid กับ Camry ตัวใหม่ได้มีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น เพราะราคามันไปชนกับราคา Toyota Camry ตัว Top เลย (ราคาเริ่มต้น $34,600 หรือ 1.1 แสนบาท)ที่อเมริกาเลย

ดังนั้น ผู้บริโภคจะได้ผลประโยชน์ส่วนนี้ไปเต็มๆ มีคนมาถามผมว่า ถ้าราคาใกล้เคียงกันกับ Toyota Camry แบบนี้ เลือกไม่ถูกเหมือนกัน ผมบอกเลยว่า ถึงราคาเริ่มต้นจะมากกว่า Camry ตัว Top อยู่หน่อยๆ ก็ตาม แต่ถ้าใช้งานไป 1-2 ปีแล้ว คุ้มกว่า Toyota Camry แน่นอนเพราะว่า น้ำมันก็ไม่ต้องเติม ใช้ไฟบ้านซึ่งคิดแล้วตก กิโลเมตรล่ะ $0.03 หรือ 0.96 บาท แถมถ้าใช้โปรไฟฟรีตอนกลางคืนก็เท่ากับว่า ไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้

ปล. รุ่นพี่คนที่เค้ามาถาม เค้าบอกว่า เค้าจ่ายค่าน้ำมันอยู่แล้วเดือนล่ะ $500 หรือ 16,000 บาท ถ้าใช้รถคันนี้ เค้าก็เอาเงินส่วนนี้ไปผ่อนรถได้สบายๆ โดยหักไปจ่ายค่าไฟส่วนเกินแค่ $100 เท่านั้น

แถมค่าบำรุงรักษาก็ไม่ต้องเสียในระยะ 160,000 กิโลเมตรแรก เพราะอยู่ในประกัน

ผมไม่แน่ใจว่า ที่ไทยนั้นสามารถขับรถยนต์ ICE ไปเป็นระยะทาง 160,000 กิโลเมตรแล้วไม่ต้องเสียเงินค่าบำรุงได้ไหม แต่ที่อเมริกา อย่างต่ำๆ คนขับต้องเสียเงินค่าน้ำมันเครื่อง, ไส้กรองน้ำมันเครื่อง, ไส้กรองอากาศ, น้ำมันเกียร์, น้ำมันพวงมาลัย power, และอื่นๆ อีกมากมาย

ปล. รถยนต์ไฟฟ้า Nissan leaf ทุกคันประกันแบต 96 เดือนหรือ 100,000 ไมล์(160,000 km) ส่วนค่ายางรถ, น้ำยาแอร์, ยาปัดน้ำฝน หรืออะไหล่อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับ powertrain(ระบบขับเคลื่อน) คนขับต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายเองน่ะครับ

Follow by Email