Blink Blink
Latest news
BenzEuropeMercedes BenzTeslaUSA

Benz เป็นค่ายรถยนต์ค่ายแรกที่เตรียมใช้งาน Self-driving Level 3 ในอเมริกา(แซงหน้าเทสล่าไปเลย)

ในงาน CES (Consumer Electronics Show) 2023 ที่ผ่านมานั้น Mercedes Benz ได้ทำการเปิดตัว Drive Pilot หรือระบบ self-driving ของค่าย Mercedes Benz ตัวใหม่ในงาน ซึ่งทางบริษัทแจ้งว่า Drive Pilot เป็น software ตัวแรกที่สามารถทำให้รถยนต์ Benz รุ่นต่างๆ สามารถใช้งาน Self-driving SAE level 3 ได้นะครับ(ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งเดี๋ยวผมจะเจาะลึกเงื่อนไขกันให้เข้าใจในโพสนี้นะครับ)

SAE level 3 คืออะไร?

ก่อนอื่นเลย ต้องขอแสดงความยินดีกับ Mercedes Benz ที่สามารถสร้าง software Drive Pilot ให้สามารถใช้งานได้ถึง SAE Level 3 แม้กระทั่ง Tesla นั้นที่มี Autopilot และ FSD Beta นั้นทำได้เพียง SAE Level 2 เท่านั้นเองครับ

ถ้ายังไงผมจะอธิบายตั้งแต่ level 0 ถึง level 5 กันเลยนะครับ

Level 0 _ No Automation

นี่คือระบบ default ทั่วไปคือ ไม่มีตัวช่วยอะไรเลย ไม่มี lane departure อาจจะมี cruise แต่ทุกอย่าง มนุษย์รับผิดชอบเองทั้งหมด รถประเภทนี้คือ รถที่พวกเราขับกันอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้น่ะครับ

Level 1 _ Driver Assistance

System capability: Under certain conditions, the car controls either the steering or the vehicle speed, but not both simultaneously.

ระบบที่เข้ามาช่วยขับ :  ประคองพวงมาลัยให้อยู่ใน เลนถนน และควบคุมความเร็วตามกำหนด(cruise control) หรือ เบรคหรือเร่งให้ในระยะที่กำหนด แต่ระบบไม่สามารถทำทุกอย่างพร้อมๆ กัน

อุปกรณ์ adaptive cruise control ตัวนี้จะช่วยเว้นระยะห่างระหว่างรถของคุณกับคันที่อยู่ข้างหน้า แต่ไม่ได้แปลว่า จะกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุน่ะครับ อย่าใช้งานผิดประเภทกันล่ะครับ(รถเว้นระยะห่างให้ แต่ไม่ได้ฉลาดขนาดหักหลบเข้าข้างทางเวลาสิบล้อตัดหน้าน่ะครับ)

คนขับต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนเลนถนน, จอดตรงไฟแดง, หลบสิ่งเกียดขวาง รวมถึงรถที่ปาดหน้าด้วย

adaptive cruise control ใน audi

ระบบ lane departure ของ toyota camry ที่ช่วยประคองรถให้อยู่ในเส้นปะ หรือ เส้นทึบ

ระบบนี้ ช่วยให้คนขับผ่อนคลายจากอาการขับรถเป็นเวลานานๆ แต่ไม่ได้มาทำงานแทนคนขับทุกอย่างน่ะครับ
คนขับต้องรับผิดชอบทุกอย่างบนท้องถนน

ระบบนี้จะเรียกอีกอย่างว่า Adaptive cruise control

adaptive cruise control ใน honda civic 2016 ซึ่ง honda, toyota ที่ผลิตหลังปี 2018 เกือบแทบทุกคันในอเมริกามีระบบนี้แล้วครับ

ส่วน Tesla นั้นก็คือ Adaptive Cruise Control ธรรมดาครับ Autosteer นั้นเป็น level 2.5 ครับ

Level 2 _ Partial Automation

Tesla Autopilot

Tactical maneuvers such as responding to traffic signals or changing lanes largely fall to the driver, as does scanning for hazards. The driver may have to keep a hand on the wheel as a proxy for paying attention

ระบบที่เข้ามาช่วยขับ :  รถจะประคองพวงมาลัยให้, เร่งเครื่องให้, เบรคให้ในกรณีมีรถอยู่ข้างหน้า เหตุการณ์ที่ต้องการตอบสนองแบบซับซ้อนนั้น ต้องพึ่งพาคนขับเท่านั้น เช่น รถตัดหน้า, หยุดรถบริเวณสี่แยกไฟแดง, เลี้ยวรถเพื่อเข้าไปถนนใหญ่, เลี้ยวรถเพื่อออกจากถนนใหญ่ไปสู่ถนนเล็ก, ฯลฯ

อีลอนบอกเอาไว้ว่า Tesla FSD Beta นั้นอยู่ตรงนี้ครับ (เค้าไม่อยากให้จินตนาการไปไกลถึง Level 3 เพราะเวลาประสบอุบัติเหตุจริงๆ User จะชอบโยนความผิดให้ค่ายรถยนต์ทันที)

แต่ถ้าเอาจริงๆ ผมมีคลิปที่ผมไปทดสอบวิ่งในเมือง Dallas ช่วงการจราจรคับคั่งซึ่งรถมันตอบสนองได้ดีระดับนึงเลยนะครับ

Level 3 _ Conditional Automation

System capability: In the right conditions, the car can manage most aspects of driving, including monitoring the environment.

ระบบช่วยขับ : ระบบจะปรับเปลี่ยนรูปแบบในการขับตามสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี รวมไปถึงคาดการณ์หรือเฝ้าสังเกตุการณ์เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

The system prompts the driver to intervene when it encounters a scenario it can’t navigate.

ระบบนี้จะแจ้งเตือนหรือตอบสนองแบบรวดเร็วฉับพลันเพื่อให้คนขับเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า

ผมแปลกใจมากๆ ที่ Tesla FSD Beta ไม่อยู่ใน Level นี้ แต่ตอนนี้ Benz Drive Pilot กำลังจะได้ตำแหน่งนี้ไปนะครับ

Level 4 _ High Automation

System capability: The car can operate without human input or oversight but only under select conditions defined by factors such as road type or geographic area.

ระบบนี้สิเจ๋งจริง เค้าบอกว่า ถ้าขับรถ auto pilot level นี้แล้ว รับรองว่า ไม่จำเป็นต้องแตะพวงมาลัยกันเลย
รถสามารถวิ่งไปยังจุดหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากคนขับหรือมนุษย์ครับ
แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะวิ่งได้ทุกเส้นทางน่ะครับ

Driver involvement: In a shared car restricted to a defined area, there may not be any. But in a privately owned Level 4 car, the driver might manage all driving duties on surface streets then become a passenger as the car enters a highway.

คนขับไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องขับรถเลยก็ได้ แต่ตอนนี้เป็นแค่ prototype น่ะครับ และต่อให้ใช้งานได้ก็ใช้งานได้เพียงแค่ถนนไม่กี่แห่งที่ ระบบ autopilot ชนิดนี้เคยไปสำรวจมาครับเรียกว่า ยังอยู่ในระบบ machine learning อยู่เนอะยังไม่สามารถตัดสินใจเองได้ทั้งหมด

ณ ปัจจุบัน ค่ายรถที่เคลมว่าใช้งานระบบนี้ได้ก็จะมี Cruise โดยตัวรถจะไม่ต้องมีคนนั่งไปด้วยเลยนะครับ ตอนนี้ใช้งานได้ในเมือง San Francisco เมืองเดียวครับเพราะระบบนี้เป็น supervise learning คือโปรแกรมเมอร์ต้องสร้างแบบจำลองในเมืองมาแบบว่าทุกตารางนิ้วบนถนนต้องตรงเป๊ะกับของจริงครับ ดังนั้นถ้าเอาไปขับเมืองอื่นมันก็จะใช้งานไม่ได้อารมรณ์เหมือนรถรางที่วางโครงสร้างเอาไว้แล้ว เอามาวิ่งบนถนนไม่ได้เพราะไม่รู้จักเส้นทางครับ

Level 5 _ Full Automation

System capability: The driverless car can operate on any road and in any conditions a human driver could negotiate
ระบบนี้ก็ไม่ต้องโฆษณาเยอะเนอะ ขับเอง เหมือนหนังภาพยนตร์อนาคตไปเลย ปัจจุบันยังไม่มีใครกล้ายืนยันว่าสามารถใช้งานระบบนี้ได้เพราะระบบนี้มันจะต้องใช้งานได้ในวันที่ฝนตกหนัก, พายุหิมะเข้า, หรือมีการเปลี่ยนเส้นทางถนนใหม่ทั้งหมด

ที่มา : SAE level 0-5

Drive Pilot อนุญาติให้คนขับนั่งดูหนัง??

ตอนนี้ Benz เพียงแต่บอกว่า ระบบของเค้านั้นสามารถปล่อยให้คนขับนั่งดู youtube , เล่นมือถือ, เล่นเกมส์ในรถ, หรือ เปิด web browser ในรถระหว่างที่ระบบ Drive pilot กำลังทำงานอยู่เลย

อันนี้แตกต่างจาก Tesla อย่างมากเพราะว่า Tesla FSD Beta นั้นไม่อนุญาติให้คุณมองไปที่อื่นระหว่างขับรถ

แต่ Benz ยืนยันว่า คนขับจะต้องแตะพวงมาลัยทุก ๆ 10 วินาที(ส่วน Tesla FSD Beta อยู่ที่ 15 – 30 วินาที) ถ้าไม่ตอบสนองสิ่งที่ Drive pilot แจ้งเตือนมา ระบบจะทำการหักเข้าข้างทางและจอดให้เหมือน Tesla Model S ที่ระบบรถหักเข้าข้างทางและทำให้รถด้านหลังที่ตามมาขับชนกันถึง 8 คันครับ

อย่างไรก็ตาม Drive Pilot จะมีการใช้งานกล้องเพื่อตรวจจับใบหน้าคนขับตลอดเวลา ดังนั้นถ้าคนขับหลับในจริง ตัวรถจะมีการแจ้งเตือนให้คนขับตื่นซึ่งตอนนี้เค้ารอ DMV ฝั่งแคลิฟอร์เนียอนุมัติอยู่นะครับ ส่วน DMV ฝั่ง Nevada นั้นทำการอนุมัติให้ใช้งานระบบ Drive Pilot เรียบร้อยแล้วครับ

รถรุ่นไหนใช้งานได้บ้าง?

ตอนนี้ Benz เปิดให้รถแค่สองรุ่นบนโลกใช้งานระบบ Drive Pilot ได้นะครับ ซึ่งก็คือ

  • Benz S-Class ค่าเปิดบริการ €5,000 ยูโรหรือ 178,600 บาท
  • Benz EQS ค่าเปิดบริการ €7,430 ยูโรหรือ 262,185 บาท

Hardware เยอะกว่า Tesla

Drive Pilot นั้นใช้ Hardware เยอะกว่า Tesla มหาศาลอยู่นะครับ ผมขอ list รายการ Benz Drive pilot ออกมาตรงนี้เลยครับ

  1. LiDAR – ใช้แสงหรือเลเซอร์ในการยิงลำแสงเพื่อสร้าง object 3 มิติขึ้นมาหรือจะเรียกว่าเอามาเป็นดวงตาที่สามของรถครับ (ข้อเสียของอุปกรณ์ตัวนี้คือไม่สามารถใช้งานตอนหมอกลงหรือฝนตกเพราะลำแสงมันจะยิงกันมั่วไปหมดครับ)
  2. Radar – ใช้คลื่นวิทยุในการกะระยะห่างจากรถคันข้างหน้าเพื่อกำหนดความเร็วในการขับขี่
  3. Camera – ใช้กล้องหน้าในการสร้างภาพ 3 มิติขึ้นมาเหมือน occupancy network ของ Tesla
  4. Driver Camera – ใช้กล้องตรวจจับใบหน้าคนขับตลอดเวลา ซึ่งเป็น hardware มาตราฐานของรถที่จะขึ้น SAE Level 3
  5. Microphone – มีไมค์นอกรถคอยฟังเสียงรถฉุกเฉินหรือรถพยาบาลเพื่อทำการหลบเข้าข้างทาง
  6. Antenna Array – ตัวรับสัญญาณ GPS จากดาวเทียม(แม่นยำกว่ารถค่ายอื่นๆเพราะมีเสาสัญญาณแยกออกมาโดยเฉพาะเลยครับ) Benz บอกว่า hardware ตัวนี้สามารถวัดความแม่นยำได้น้อยถึง 1 เซนติเมตรเลยทีเดียว แบบว่ารถขยับไปข้างหน้า 1 cm ก็รู้ทันทีจากแผนที่ภายในรถ
  7. Road Moiseture Sensor – ตัวตรวจจับความชื้นของท้องถนนเพื่อเปลี่ยนสไตล์การขับขี่ให้เหมาะกับพื้นผิวถนน
  8. Ultra Sonic Sensor – เอาไว้ตรวจจับเวลาถอยจอดหรือมุดเข้าซองเล็กๆ sensor ตัวนี้เอาไว้ใช้เวลาจอดรถเท่านั้นครับ
เสารับสัญญาณบนหลังคาของ Benz S-Class
กล้องหน้ารถ
หน้าจอคนขับภายในรถ Benz

ข้อจำกัดของ Drive Pilot

ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติทุกระบบนั้นมีข้อเสียกันหมดครับ ดังนั้นก่อนใช้งานควรศึกษาให้เข้าใจเพื่อป้องกันการใช้งานผิดๆ กันนะครับ

  1. ไม่สามารถใช้งานเกินความเร็ว 60 km/h
  2. ใช้งานได้เฉพาะถนนหลวงหรือ highway เท่านั้น – ไม่สามารถใช้งานในหมู่บ้านหรือซอกซอยได้ (ไม่เหมือน FSD Beta)
  3. ต้องสัมผัสพวงมาลัยทุก ๆ 10 วินาที (ถ้าไม่ทำตาม รถจะทำการหยุดเพื่อเข้าข้างทางทันที)

หรือผมจะสรุปให้สั้นๆ ว่า คนขับหลังพวงมาลัย Benz ที่ใช้งานระบบ Drive pilot สามารถละสายตาจากด้านหน้ารถได้ครั้งล่ะ 10 วินาที (เทสล่าได้ 15-20 วินาที) ก่อนที่ระบบจะแจ้งเตือน

ที่มา : Gearpatrol

BLINK DRIVE TAKE

สรุปDrive Pilot ทำอะไรได้บ้าง?

  1. ประคองรถให้อยู่ในเลน – lane keeping assistance
  2. ขับตามรถคันหน้ากับการรักษาระยะห่าง – adaptive cruise control
  3. เปลี่ยนเลนแซงได้ – auto lane change

รวมๆ คือ เหมือนกับระบบ Navigate on Autopilot ของ Tesla เป๊ะ

แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ระบบ Drive Pilot ไม่อนุญาติให้ใช้งานเกินความเร็ว 60 km/h ส่วน Autopilot ของ Tesla จำกัดความเร็วในการใช้งานที่ 85 mph หรือ 136 km/h ผมเอาคลิปทดสอบระบบ Autopilot ของ Tesla เพื่อเอาไว้เปรียบเทียบกันตรงนี้นะครับ

Drive Pilot ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร?

ระบบ Drive Pilot ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดความเหนื่อยล้าของคนขับรถช่วงเวลารถติดบนท้องถนน ไม่ใช่มาขับให้เรานะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจจุดประสงค์ระบบผิด ส่วนการใช้งานนั้นต้องสัมผัสพวงมาลัยทุกๆ 10 วินาทีต่อให้นั่งเล่นเกมส์ก็ต้องสัมผัสพวงมาลัยทุก 10 วินาทีครับ ถ้าไม่สัมผัสรถจะเข้าข้างทางทันที

ถ้าถามว่าทำได้ดีกว่า รถค่ายอื่นไหม ตอบเลยว่า Benz Drive Pilot มาไกลมากๆ ครับ แต่ถ้าจะให้เทียบเท่า Tesla FSD Beta ไหม? ยังคงตอบไม่ได้จนกว่าคนอเมริกาจะนำมาทดสอบคู่กับ FSD Beta แหละครับ

ยังไงก็ขอแสดงความยินดีกับ Mercedes Benz ด้วยที่จะมาเปิดตัว SAE Level 3 เป็นค่ายแรกของอเมริกา

ส่วน Tesla พยายามตีความหมาย FSD Beta ให้เป็น Level 2 เพื่อป้องกันคนขับประมาทแล้วมาเคลมเวลารถชนครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

พูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารเทคโนโลยีได้ที่ Discord นี้

Follow by Email