Blink Blink
Latest news
TeslaUSA

Tesla Model Y ขึ้นแท่นรถที่มีคะแนนความปลอดภัยเยอะที่สุดในโลก (มาตราฐาน Euro NCAP)

รถยนต์ SUV ไฟฟ้า Tesla Model Y ขึ้นแท่นรถยนต์ที่ได้คะแนนความปลอดภัยมากที่สุดในโลก ข้อมูลนี้เพิ่งเปิดเผยต่อสาธารณะจากการทดสอบมาตราฐาน Europe ANCAP (Australasian New Car Assessment Program) เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา (วันเดียวกับที่ iphone 14 เปิดตัวเลยครับ)

หมายเหตุ : การทดสอบนี้เป็นของ Euro NCAP แต่หน่วยงานของออสเตรเลียอย่าง ANCAP เขาเอาผลทดสอบจากยุโรปมาใช้อ้างอิงในการเผยแพร่ข้อมูล ดังนั้น ข้อมูลที่ยุโรปว่าไง ออสเตรเลียก็ว่าตามนั้นครับ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y ก็เลยได้คะแนนความปลอดภัยสูงสุดทั้งของยุโรปแล้วก็ออสเตรเลียพร้อมๆ กันสองที่ไปเลยครับ

Tesla Model Y ทำคะแนนความปลอดภัยได้มากกว่าแชมป์ระดับโลกอย่าง Subaru Outback ด้วยนะครับ

Euro NCAP Overall Score

2020 – 2022 Protocol

ข้อมูลจากตาราง Overall Score ตรงนี้เป็นการรวบรวมคะแนนจากหมวดความปลอดภัยต่างๆ ในการทดสอบครับ เช่น

  • Adult Occupant Protection(ความปลอดภัยทั้งคนขับและคนโดยสารที่เป็นผู้ใหญ่)
  • Child Occupant Protection (ความปลอดภัยของเด็กที่นั่งมาด้านหลังโดยใช้เก้าอี้เด็ก)
  • Vulnerable Road User Protection (ความปลอดภัยกับผู้ใช้งานท้องถนนหรือคนที่เดินอยู่ตามท้องถนน)
  • Safety Assist (ระบบช่วยเหลือความปลอดภัยด้านอื่นๆ)

โดย Tesla Model Y สามารถสอบได้ที่หนึ่งถึง 2 ตำแหน่งคือ Adult Occupant Protection ได้ 97% และ Safety Assist ได้ 98% ครับ

แม้กระทั่งรถยุโรป(ไฟฟ้า)อย่าง Benz EQS นั้นได้คะแนนความปลอดภัยโดยรวมที่ 88% ครับรั้งตำแหน่งรถที่มีคะแนนความปลอดภัยเป็นอันดับ 6 ของโลก ส่วนถัดมาคือ รถยนต์ไฟฟ้า Polestar 2 เป็นรถในค่าย Volvo ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่อันดับหนึ่งของโลก แต่มารอบนี้ Polestar 2 ทำคะแนนความปลอดภัยได้ที่ 88% เท่ากับ Mercedes Benz EQS ครับ

Adult Occupant Protection

(ความปลอดภัยทั้งคนขับและคนโดยสารที่เป็นผู้ใหญ่)

สิ่งสำคัญอยู่ที่การดีไซน์ตัวถังและชิ้นส่วนที่เอามาครอบอีกที เพราะด้วยกฎเกณฑ์ด้านความปลอดภัยที่ใช้กันอยู่ Tesla ต้องการให้ตัวรถด้านนอกมีความยืดหยุ่นสูง เวลารถประสบอุบัติเหตุ(ขับชนคน)ขึ้นมา คนที่โดนชนจะได้บาดเจ็บไม่หนัก เพราะบริเวณกันชนหน้า-หลัง ไฟหน้า ฝากระโปรงมันยืดหยุ่นได้

ส่วนตัวถังข้างในเขาต้องการให้มันแข็งแรงจริงๆ เพื่อปกป้องผู้โดยสารภายในรถครับ

ที่ผมทึ่งคือ Tesla มีถุงลมนิรภัยที่ใช้งานได้จริงเยอะเป็นอันดับต้นๆของโลกครับ ดูจากวิดีโอด้านล่างนี้ได้ครับ ถุงลมระหว่างคนนั่งโดยสารและคนขับ(เห้ย ให้มาเยอะจริงๆครับ)

ข้อความจากคุณ Attapon (Admin SpaceX Thailand Fanclub กลุ่มผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีอวกาศบริษัท SpaceX ) : ที่จริงรถที่มีความปลอดภัยมากๆ นอกเหนือไปจาก Model Y แล้วส่วนตัวผมยกให้กับรถ SUV ไซส์ใหญ่ ที่เป็นปลั๊กอินไฮบริดจากจีนอย่าง WEY Coffee 01 ครับ มีคะแนนด้านความปลอดภัยที่ใกล้เคียงกับ Model Y มาก แล้วในส่วนของซอฟแวร์ด้านความปลอดภัยก็ทำได้ดีเลย เหนือกว่ารถสันดาปและรถไฟฟ้าหลายๆเจ้า คือเป็นรองแค่ Model Y เท่านั้น

ผมว่าหลายๆคนไปติดภาพจำว่า Volvo ต้องปลอดภัยมากๆ แต่ถ้าไปดูคะแนนด้านความปลอดภัยย้อนหลังไปหลายๆปีผมว่า รถที่เด่นเรื่องความปลอดภัยน่าจะเป็นเมอร์เซเดส โฟล์คสวาเกนมากกว่าครับ แล้วก็ฝั่งญี่ปุ่นก็จะเป็นซูบารุ มาสด้า โตโยต้าอะไรพวกนั้น

Tesla Vision

สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดเกี่ยวกับ Safety Assist นั้นก็คือ Tesla Model Y ไม่ได้ใช้ Radar (เรดาร์)ในการตรวจจับวัตถุหน้ารถครับ แต่กลับใช้ CNN (Convolutional Neural Network) กับกล้องรอบคันเพื่อสร้างเทคโนโลยี Tesla Vision คือแปลงสิ่งที่เห็นผ่านกล้องและ CNN ด้วย Image Segmentation เพื่อให้กลายเป็นวัตถุสามมิติตามภาพด้านล่างนะครับ

Tesla Vision ของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y (และ Tesla ทุกคัน) นั้นสามารถตรวจจับวัตถุด้านหน้ารถและทำคะแนน Automatic Emergency Braking ได้ดีกว่าเดิม ส่วน Lane Support System (การประคองรถในเลนถนน, การขับขี่ในเลน) รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y ทำคะแนนได้สูงสุดในรถยนต์ทั้งหมดที่ทดสอบครับ

ที่มา: Tesla

BLINK DRIVE TAKE

ขอขอบคุณที่มาของข่าวนี้จากคุณ Attapon (Admin SpaceX Thailand Fanclub กลุ่มผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีอวกาศบริษัท SpaceX ) ด้วยนะครับ

ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเลยครับ เพราะมันคือการบอกว่า รถยนต์ไฟฟ้า (Tesla) นั้นสามารถล้มตำนานความปลอดภัยที่ Volvo และ Subaru ทำมาเป็นสิบๆ ปีภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปีเท่านั้นเองครับ(Tesla Model Y ออกมาวางขายตอนปี 2020 แต่บริษัท Tesla เพิ่งเริ่มโปรเจค Tesla Model Y ในปี 2018 นั่นก็แปลว่า เค้าใช้เวลาการออกแบบรถเพียง 2 ปีแล้ววางขายเท่านั้น)

สาเหตุหลักที่ Tesla ได้คะแนนความปลอดภัยเรื่องการชนดีที่สุดเพราะการออกแบบรถให้กระจายน้ำหนักสมดุลไปทั่วรถโดยการออกแบบการวางแบตเตอรี่แบบ skateboard(สเกตบอร์ด) นะครับ(แถมจะจัดวางแบตเตอรี่ให้กระจายน้ำหนักไปทางไหนของรถก้ได้ครับ) ในทางกลับกันรถยนต์น้ำมันไม่สามารถเอาน้ำหนักเครื่องยนต์ 20 kg ไปวางเอาไว้เบาะนั่งหลังรถ,หรือเอาน้ำหนักหม้อน้ำไปวางเอาไว้ด้านหลังรถแทนครับ เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไลมันควรจะจบในห้องเครื่องครับ (มีแค่บางส่วนที่เอาออกไปไว้ที่อื่นได้เช่น แบต 12 volts(ย้ายไปหลังรถ) เป็นต้น) การออกแบบรถยนต์น้ำมันเลยมีข้อจำกัดเต็มไปหมดครับ

ปีหน้าผมคงได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมายึดตำแหน่งผู้นำเหล่านี้ทั้งหมดนะครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email