Blink Blink
Latest news
TeslaUSA

Tesla เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์สำหรับ FSD ใช้การ์ดจอ 5,760 ใบในการประมวลผล

สวัสดีชาว Blink Drive ทุกท่านครับ ถ้าใครก็ตามที่ตามข่าวสารเทสล่ามาซักพักจะรู้เลยว่าเทสล่านั้นเน้นการพัฒนาออกเป็น 3 อย่างหลักๆ ด้วยกันคือ แบตเตอรี่, ความปลอดภัย, และระบบไร้คนขับ ในขณะที่ค่ายรถยนต์น้ำมันนั้นจะเน้นในส่วนที่แตกต่างกันออกไปเช่น ระบบวาล์วแปรผัน, ระบบอัดอากาศ, ระบบประหยัดเชื้อเพลิงเวลาจอด, ระบบลูกสูบทำงานเพียงครึ่งนึงเวลาไม่ได้ต้องการแรงม้าสูงๆ , หรือท่อไอเสียสูตรใหม่ เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาของรถยนต์น้ำมันนั้นจะเป็นการพัฒนาที่เน้นการขับขี่เป็นหลักครับ แต่ถึงอย่างไรแล้วตอนนี้ค่ายรถยนต์เกือบทุกค่ายบนโลกเลือกที่จะเลิกพัฒนาระบบ ICE (internal Combustion Engine) กันแล้ว เช่น เบ็นซ์, GM, ฟอร์ด, Chevrolet, Cadillac, Volkswagen, Audi, และค่ายรถอื่นๆ อีกมากกว่า 30-40 ราย

ไม่แปลกใจครับที่จะเห็นค่ายรถยนต์ต่างๆ หันมาให้ความสนใจกับระบบขับเคลื่อนไร้คนขับกันมากยิ่งขึ้นเพราะมันเป็นรอยต่อที่จะสามารถนำพาธุรกิจรถยนต์ไปต่อได้ สิ่งสำคัญที่เราต้องตระหนักคือ การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่มีอะไหล่อะไรให้เปลี่ยนถ่ายเหมือนรถยนต์น้ำมัน( เช่น น้ำมันเครื่อง, น้ำหม้อน้ำ, เฟือง, ลูกสูบ, สายพาน, ฯลฯ) ถ้าผู้ผลิตรถยนต์อยากไปต่อได้เค้าต้องหา product ที่สามารถเอามาขายกินเงินระยะยาว(รายเดือน)หลังจากลูกค้าซื้อรถไปแล้วนะครับ

ทุกค่ายรถจึงหันไปพัฒนา software ช่วยเหลือการขับขี่ยังไงล่ะครับ ส่วนการซื้อ software ตัวนี้มาใช้ก็มีหลากหลายรูปแบบครับ บางค่ายก็รวมกับราคารถไปเลย แต่บางค่ายก็ทำแยกออกมาขาย ซึ่งผมมองว่าในอนาคตอาจจะถึงขั้นออกมาให้บริการแบบรายเดือนหรือการใช้งานแอ๊ปฟังเพลงอย่าง spotify ครับ

มาวันนี้ผมจะมาเจาะลึกสเปคเครื่อง Super Computer ของ Tesla กันนะครับ ส่วนเรื่องการพัฒนาระบบ Auto-pilot ว่าทำงานยังไงจะขอไปเขียนในกระทู้ถัดไปครับผม

ก่อนอื่นเลย คนที่เอาข้อมูลวงในของ Tesla มาเปิดเผยในครั้งนี้มีนามว่า Karpathy ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยระบบ A.I. ของบริษัทเทสล่าครับ

สเปค Tesla Super Computer

ก่อนอื่นเลย สเปคเครื่องซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ของเทสล่าเครื่องนี้เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ใหญ่และแรงเป็นอันดับ 5 ของโลกเลยนะครับ เอาละครับเรามาดูสเปคซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องนี้กันเถอะครับ

  • 8x A100 80GB x 720 เครื่อง (มีการ์ดจอ(GPU)จำนวน 5760 ใบ)
  • 1.8 EFLOPS (720 nodes * 312 TFLOPS-FP16-A100 * 8 gpu / nodes)
  • 10 PB of “hot tier” NVME storage @ 1.6 TBps
  • 640 Tbps of total switching capacity

ภาพ : Chipset : Nvdia A100

1.8 EFLOPS แรงแค่ไหน?

สำหรับคนที่สงสัยว่า 1.8 EFLOPS(exaflops) นั้นมันแรงแค่ไหนเดี๋ยวผมจะลองเปรียบเทียบให้ดูคร่าวๆ แบบนี้นะครับ

  • 1 EFLOPS = 1,000 PFLOPS(Pera Flops)
  • 1 PFLOPS = 1,000 TFLOPS(Tera Flops)

ดังนั้น 1 EFLOPS = 1,000,000 TFLOPS ครับ อ้าวแล้วทำไมต้อง convert (แปลงค่า)เป็น TFLOPS เพราะการ์ดจอหรือเครื่องเล่นเกมส์ในปัจจุบันยังเป็นหน่วย TFLOPS กันอยุ่ครับ อย่าง PS5 (Play Station 5) นั้นมีความแรงที่ 10.3 Teraflops

นั่นก็แปลว่า เครื่อง Super Computer ของ Tesla เครื่องนี้มีความแรงเท่ากับเครื่องเล่นเกมส์​ PS5 ทั้งหมด 174,757 เครื่องครับ ถ้าเทียบเท่าเป็นการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3090 ที่มีความแรงที่ 36 TFLOPS (ที่มา : engadget) ก็จะประมาณ 50,000 ใบพอดีครับ ถ้าเอามาขุดบิทคอยน์ก็คงมันส์น่าดูนะครับ ฮ่าๆ

อีกส่วนที่มองข้ามไม่ได้คือ storage หรือที่จัดเก็บข้อมูล ซึ่ง Tesla ใช้เป็น NVME แบบ Hot tier

สำหรับคนที่สงสัยว่า Hot Tier คืออะไร Blink Drive มีคำตอบให้ตรงนี้ครับ

SSD สมัยนี้นั้นมีการกักเก็บข้อมูล 2 รูปแบบหลักๆ ด้วยกันคือ

  • Hot Tier – เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบ Hot data หรือแปลตรงตัวคือ “ของร้อน” การกักเก็บข้อมูลในส่วนนี้จะต้องการความเร็วสูงในการจัดเก็บและดึงออกมาใช้งาน (I/O performance หรือ ประสิทธิภาพในการ Input / Output) ซึ่งการใช้งานข้อมูลส่วนนี้ในชีวิตประจำวันก็คงเป็นการเล่นเกมส์, ตัดต่อวิดีโอ, ตัดต่อภาพ, หรือการโอนข้อมูลระหว่างเครื่อง
  • Cold Tier – เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบเป็นประสิทธิภาพมากที่สุด(การจัดเก็บข้อมูลแบบบีบอัด) การใช้งานข้อมูลประเภทนี้จะเป็นเหมือนการเก็บของในโกดังโดยจัดระเบียบให้สามารถจัดเก็บข้อมูลต่อพื้นที่ให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น เก็บวิดีโอ, ภาพถ่าย, ไฟล์เอกสาร เป็นต้น

10 PBs มีพื้นที่เท่าไหร่?

ก่อนจะคำนวณว่า 10 PBs นั้นมีพื้นที่เท่าไหร่หน้าตาเป็นอย่างไรนั้นผมขอเอาตารางสูตรคำนวณมาเปรียบเทียบตรงนี้นะครับ

  • 1 PB = 1,024 TBs
  • 1 TB = 1,024 GBs

โน๊ตบุ๊คสมัยนี้จะมี SSD แถวๆ 500 GBs กันแล้วนะครับ ดังนั้น server เครื่องนี้มีความจุประมาณ SSD ของโน๊ตบุ๊ค 20,971 เครื่องครับ หรือถ้าเราใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกันก็ประมาณ 10,485 เครื่องครับ เก็บหนังชมพูกันมันส์เลยครับ แต่อย่าลืมว่า SSD NVME เหล่านี้เป็นแบบ Hot Tier นะครับ ความแรงอยู่ที่ 1.6 TBps หรือแรงกว่า SSD NVME ในท้องตลาดอยู่มากครับ

เอาล่ะครับ มาดูข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของคุณ Karpathy ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยระบบ A.I. ของบริษัทเทสล่าครับ

หนึ่งในบทสัมภาษณ์จากหัวหน้า A.I. ของ Tesla

“We have a neural net architecture network and we have a data set, a 1.5 petabytes data set that requires a huge amount of computing. So I wanted to give a plug to this insane supercomputer that we are building and using now. For us, computer vision is the bread and butter of what we do and what enables Autopilot. And for that to work really well, we need to master the data from the fleet, and train massive neural nets and experiment a lot. So we invested a lot into the computer. In this case, we have a cluster that we built with 720 nodes of 8x A100 of the 80GB version. So this is a massive supercomputer. I actually think that in terms of flops, it’s roughly the number 5 supercomputer in the world,”

แปล – พวกเรามีสถาปัตยกรรม neural net architecture network และฐานข้อมูล (Data set) มากกว่า 1.5 petabyte(1,500 TBs) เอาไว้ในการประมวลผล ฉะนั้นผมอยากจะลองโยนข้อมูลเหล่านี้ไปให้เครื่อง supercomputer เครื่องนี้ประมวลผลดู ข้อมูลเหล่านี้สำหรับพวกเรานั้น มันเป็นเหมือนจิ๊กซอที่มาประกบกันเพื่อสร้างระบบ Autopilot(ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ) และถ้าอยากให้ระบบนี้ออกมาได้ดีที่สุด เราจำเป็นต้องเก็บข้อมูลมหาศาลจากกองทัพรถยนต์ไฟฟ้า Tesla บนท้องถนนทั้งหมดและเอาข้อมูลเหล่านี้มาฝึก AI (Artificial Intelligent หรือปัญญาประดิษฐ์)ของพวกเราให้มีประสบการณ์มากขึ้นและเก่งขึ้นตามลำดับ ดังนั้นพวกเรา(เทสล่า)ให้ความสำคัญและลงเงินทุนอย่างมหาศาลไปกับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดมหึมาเหล่านี้ ถ้าพูดถึงเรื่องความเร็วแบบ flops นั้น เทสล่า Super Computer น่าจะเป็นเครื่องคอมพ์ประมวลผลที่เร็วและแรงเป็นอันดับ 5 ของโลกใบนี้

คุณ Karpathy , หัวหน้าทีมวิจัยระบบ A.I. ของบริษัทเทสล่า

ที่มา : youtube, Tesmanian

BLINK DRIVE TAKE

ผมมองว่าเทสล่ามาถูกทางแล้วครับ คราวนี้ก็ภาวนาให้ค่ายรถยนต์น้ำมันอื่นๆ ตามเทสล่าให้ทันเพื่อให้เค้ามาพัฒนาอุตสาหกรรมในบ้านเรา อย่างไรก็ตามผมได้ไปฟังคลิปนึงของคุณเวลใน Internet แล้วตรัสรู้ทันทีเลยว่าการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์น้ำมันนั้นมันต่างกันสุดขั้วเลยครับ รถยนต์ไฟฟ้านั้นคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ ส่วนรถยนต์น้ำมันคือเครื่องจักรที่มากไปด้วยค่าซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ครับ

อีกสิ่งนึงที่อยากทิ้งท้ายให้กับเยาวชนคนไทยที่กำลังเติบโตมาในประเทศที่มีอุตสาหกรรมรถยนต์น้ำมันเป็นหลักอย่างไทยนะครับ อยากฝากให้เยาวชนทุกท่านติดตามข่าวสารของโลกใบนี้ ผมย้ำว่าของโลกใบนี้นะครับเพราะโลกใบนี้มุ่งหน้าไปทางรถยนต์ไฟฟ้าแต่ข่าวสารบ้านเมืองของไทยนั้นตีกรอบจนกลายเป็นว่าเค้าอยากให้เราเห็นเฉพาะในสิ่งที่เค้าอยากให้เห็น(รถยนต์น้ำมัน)

ฝากเอาไว้แค่นี้จริงๆครับ

ปล. อเมริกาและยุโรปนั้นไม่มีการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์น้ำมันเพิ่มเติมมาตั้งแต่ปี 2020 แล้วครับ และมีโครงการยุบโรงงานผลิตรถยนต์น้ำมันเหล่านี้ภายในปี 2025 และ 2035 ตามลำดับด้วยครับ ยังไงก็….

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

ส่งข้อมูลที่น่าสนใจและอยากให้แปลมาได้ที่ THE FORTRESS

Follow by Email