Blink Blink
Latest news
interview

ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ไปเกือบ 2 แสนกิโลเมตร, ซ่อมอะไรไปแล้วบ้าง?

ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ท่านนี้มีชื่อว่า Arthur Driessen เป็นชาวอเมริกาที่สั่งซื้อ Tesla Model 3 ไปตั้งแต่ Tesla เปิดจองวันแรก และก็ได้รับรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้มาขับในเดือนเมษายน พ.ศ. 2561(2018) ปรากฏว่า พี่แกอยากทดสอบความแกร่งของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้เลยเอารถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ขับทั่วอเมริกา เอาไปลุยทุกสภาพถนน ตั้งแต่ร้อนจัด(40-50 C) จนไปถึงหนาวจัด(หิมะท่วมถนน)กันเลยทีเดียว

คุณ Arthur Driessen ได้อธิบายข้อมูลการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าไว้อย่างละเอียดมากๆ โดยมีหัวข้อดังนี้

  • Seasons and Terrain(ฤดูกาลและสภาพถนนในที่ต่างๆ)
  • Service (การซ่อมบำรุงรักษา)
  • Battery Range and Degradation (ระยะทางที่วิ่งได้กับเรื่องแบตเสื่อม)
  • Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ)
  • Storage (ความจุของห้องโดยสารและที่เก็บของ)
  • What I Don’t Like (สิ่งที่ผม(ผู้ใช้งาน)ไม่ชอบ)
  • Navigate on Autopilot (การใช้งานผ่านระบบขับขี่อัตโนมัติ)
  • Smart Summon (ระบบการสั่งการรถให้เคลื่อนที่ผ่านมือถือ)
  • Nav Without Internet (การใช้งานแผนที่นำทางตอนไม่มีอินเตอร์เน็ต)

หมายเหตุ : เห็นหัวข้อต่างๆ แล้วบอกได้เลยว่า พี่แกทำข้อมูลออกมาได้จุใจจริงๆ ครับ แต่จะให้ผมนำข้อมูลเหล่านี้มาเขียนอธิบายหมดแล้ว คิดว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลา 3 วันเต็มๆ ในการแปลข้อมูลนะครับ ดังนั้นผมจึงหยิบยกเรื่องที่คนไทยอยากรู้และกังวลมากที่สุดในตอนนี้ คือ เรื่องซ่อมบำรุงและแบตเสื่อมครับ

ปล. ผมได้รับอนุญาตจากคุณ Arthur Driessen ให้นำข้อมูลจากเว็บของเค้ามาเขียนเป็นภาษาไทยแล้วนะครับ นี่คือ หลักฐานการสนทนาระหว่างเราสองคนใน youtube ครับ

Service (การซ่อมบำรุงรักษา)

คุณ Arthur Driessen ได้บอกใน youtube clip ของเค้าว่า “ทุกคนกำลังสงสัยกันใช่ไหมครับว่า ผมขับรถไป 115,000 ไมล์(187,000 km) นั้นซ่อมอะไรไปบ้าง , ผมบอกได้เลยครับว่า เปลี่ยนแค่ Control arm [ปีกนกรถยนต์ : เป็นระบบรองรับการสะเทือนสำหรับรถยนต์โดยปกติจะติดตั้งไว้ใกล้กับแกนล้อโดยใช้ลูกหมากเป็นตัวเชื่อมต่อและทำให้ปีกนกสามารถรับการเคลื่อนไหวของรถได้] ่เท่านั้น ซึ่งตอนซ่อมนั้นอยู่ในประกัน เทสล่าซ่อมให้ฟรี(ไม่คิดค่าแรงและค่าอะไหล่)

รูปภาพ : บิลค่าซ่อมปีกนกรถยนต์[Control Arm]

คุณ Arthur Driessen ได้บอกว่า “สาเหตุที่ทำให้รถคันนี้ต้องเปลี่ยน control arm ก่อนคันอื่นๆ เพราะผมเอารถคันนี้ไปวิ่งลุยทางวิบาก(off-road)มาครับ ซึ่งขับตะกุยทางแบบหฤโหดมากๆ ต่อให้ผมใช้รถยนต์น้ำมันก็ต้องเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นนี้เช่นกัน”

ส่วนอีกสิ่งนึงที่คุณ Arthur ได้ทำการซ่อมไปก็คือ ตัวยึดประตูรถ(ฝั่งคนขับ) ซึ่งนั่นก็เป็นความผิดของผู้ใช้งานเช่นกัน มีอยู่สถานที่แห่งหนึ่งที่เค้าไปเยือนนั้นมีลมพัดมาแรงมากๆ (60 mph หรือ 100 km/h) แล้วเค้าทำการเปิดประตูโดยไม่ได้จับเอาไว้ให้ดี ประตูเลยตีออกไปจนทำให้ก้านตัวยึดประตูฉีกออก

ส่วนเรื่องยางรถนั้นเค้าได้แจกแจงออกมาเป็นอย่างนี้ครับ

  • ยาง 2 เส้น(ล้อหลัง)แรก : ถูกเปลี่ยนตอนระยะทาง 13,000 ไมล์(20,800 km)
  • ยาง 2 เส้น(ล้อหลัง)เซ็ทสอง : ถูกเปลี่ยนตอนระยะทาง 33,000 ไมล์(52,800 km)

หมายเหตุ : เนื่องจากรถคันนี้เป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อ(หลัง) ซึ่งเวลาออกตัวหรือเบรค(รีเจน)ก็จะใช้ล้อหลังเป็นหลัก และอย่างที่รู้ว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นแรงบิดนั้นสูงมากๆ ทำให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับ 2 ล้อนั้นกินยางไปมากกว่ารถยนต์น้ำมันแหละครับ

คุณอาเธอร์ได้บอกอีกว่า “ต่อให้ผมพยายาม rotate(สลับล้อ) ถี่แค่ไหน ยางรถยนต์ของผมก็ใช้งานได้เพียง 20,000 – 25,000 ไมล์(32,000 – 40,000 km) เท่านั้น

สิ่งเดียวเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้ผมหัวเสียก็คือ เรื่องยางรถยนต์เพราะว่า มันเปลี่ยนบ่อยมากๆ(ก็แกเล่นขับเฉลี่ยเดือนล่ะ 5,750 ไมล์(9,200 km) นี่หว่า) แต่สิ่งที่โชคดีคือเค้าซื้อประกันยางของ pirelli เอาไว้ซึ่งประกันยางของยี่ห้อนี้ในอเมริกาประมาณ 70,000 ไมล์(112,000 km) ครับ ซึ่งเค้าประหยัดเงินค่าเปลี่ยนยางไปถึง 65 %เลยทีเดียว นอกเหนือจากนั้น เค้าไม่ได้ซ่อมหรือบำรุงอะไรเลย

รูปภาพ : ประกันยางรถยนต์ของ pirelli รุ่น cinturato P7 ซึ่งประกันมากถึง 70,000 ไมล์ต่อเส้น

I think that’s pretty amazing. Over 115,000 miles, you know no oil changes, no nothing,
(แปล) ผมว่า มันน่าทึ่งมากทีเดียว ที่รถยนต์คันนึงจะสามารถขับได้มากกว่า 115,000 ไมล์(187,000 km) โดยไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือทำอะไรกับมันเลย

คุณอาเธอร์ ( Arthur Driessen ) เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า tesla model 3 ได้กล่าวเอาไว้

Battery Range and Degradation (ระยะทางที่วิ่งได้กับเรื่องแบตเสื่อม)

เอาละครับ มีถึงอีกเรื่องที่คนไทยหลายคนชอบแซวกันติดปากเหลือเกินว่า “ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ระวังแบตเสื่อมเร็วนะ” เพราะเจ้า hybrid ที่เคยทำตลาดเอาไว้มากกว่า 10 ปีที่ไทยนั้น ทำเอาไว้แสบมากๆครับ มีคนไทยหลายคนเอาแบตรถยนต์ไฟฟ้าไปเทียบกับแบต hybrid ซึ่งผมอยากทำความเข้าใจตรงนี้เลยว่า “แบต hybrid มันกาก” ครับ เพราะตัวแบต hybrid นั้นไม่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ, ใช้แบตประเภท Ni-Mh Battery แบตเตอรี่-นิเกิลเมทัลไฮดราย ซึ่ง life cycle(จำนวนครั้งในการชาร์จ)น้อยกว่าแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, และแถมยังให้แบตมาน้อย (แบต hybrid ของพี่โตทุกรุ่นมาพร้อมขนาด 1.6 kWh หรือน้อยกว่ารถยนต์ไฟฟ้า 40-50 เท่า)

“ตอนผมซื้อรถยนต์ไฟฟ้า tesla model 3 รุ่น long range คันนี้มา รถคันนี้ก็ชาร์จแล้ววิ่งได้ประมาณ 310 ไมล์(496 km) หลังจากใช้งานไป 115,000 ไมล์(187,000 km) แล้ว เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมลองไปชาร์จให้เต็ม 100 % ดู ที่จอของผมก็แสดงให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้สามารถได้ 308 ไมล์(492 km) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง”

คุณอาเธอร์ได้กล่าวเอาไว้ใน clip : Tesla Model 3 Maiden Voyage – 115,000 mi ณ นาทีที่ 6:00
ภาพ : หน้าจอรถยนต์ไฟฟ้า tesla model 3 ของคุณอาเธอร์(แสดงผลว่า รถยนต์สามารถวิ่งได้ 308 ไมล์ก่อนแบตจะหมด)

หมายเหตุ : เวลาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้านั้น คุณอาเธอร์จะชาร์จแบตรถให้อยู่ในระยะ SoC[state of charge] ที่ปลอดภัย นั่นก็คือ ไม่ชาร์จเต็ม 100 % นานๆ ทีที่ เค้าจะชาร์จเต็ม 100% เพราะต้องการทราบ range(ระยะทางที่วิ่งได้)คงเหลือ

เค้าย้ำว่า รถยนต์ไฟฟ้า Tesla นั้นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มหัศจรรย์เพราะเหมือนกับว่า ทุกครั้งที่ software ทำการ update นั้น เค้าจะได้ range(ระยะทางที่วิ่งได้) เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งเค้าก็งงกับระบบนี้ว่า backend(เบื้องหลัง) tesla ทำการดัดแปลงระบบการใช้งานไฟหรือระบบการชาร์จไฟอย่างไรบ้างเพื่อยืดอายุการใช้งานแบตของเค้าออกไปได้เพียงนี้

ที่มา : teslarati

BLINK DRIVE TAKE

การใช้งานระยะทางเกือบ 200,000 km นั้นถือว่าเป็นเรื่องโหดในประเทศอเมริกานะครับ ถ้าทุกท่านลองเปิดคลิปดูจะเห็นได้เลยว่า คุณอาเธอร์นำไปบุกภูเขา, ลุยโคลน, ดริฟบนหิมะ, และก็ขับระยะทางไกลๆ โดยไม่หยุดพัก ดังนั้น ผมมองว่า ถ้าเป็นรถยนต์น้ำมัน เครื่องยนต์คงพังไปแล้วครับ หรือไม่ก็ต้องแวะเข้าอู่ทุกๆ 5,000 km เพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

แต่ผมได้รับคำยืนยันจากคุณอาเธอร์เองว่า ตั้งแต่เค้าซื้อรถมานั้น service รถไป 2 ครั้งคือเปลี่ยนปีกนกกับซ่อมบานประตู ส่วนเรื่อง rotate tire(สลับยาง) หรือ เปลี่ยนยางรถนั้นถือเป็นเรื่องที่รถทุกประเภทต้องทำครับ

ยังไงผมอยากให้ทุกท่านเอารถที่ท่านใช้งานประจำมาเทียบกันกับคันนี้ดูนะครับว่า ทนกว่ากันไหมครับ?

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email