Blink Blink
TeslaUSA

Tesla เริ่มฝึกหุ่นยนต์ให้มาทำงานในโรงงานผลิตแบตเพื่อมาแทนที่คนงานเร็วๆ นี้

Tesla นั้นได้ออกมาเปิดเผย update (ความเคลื่อนไหว) Tesla Humanoid Robot หรือหุ่นยนต์รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่มีนามว่า Optimus โดยเป้าหมายของการฝึกหุ่นยนต์ตัวนี้คือจะเอามาแทนที่คนงานในโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ครับ ไม่แปลกใจว่า ทำไม Tesla ถึงมีการ lay off(เชิญออก)พนักงานในโรงงานกันมากในปีนี้ เดี๋ยวจะมีเจาะลึกข้อมูลกันให้ฟังนะครับ

ทำไม Tesla ถึงปลดพนักงาน 10 % ในปีนี้?

สาเหตุแรกที่ Tesla ปลดพนักงานมากกว่า 10% ทั่วโลกแล้ว(และเตรียมปลดเพิ่มเรื่อยๆ)ในปี 2024 นั้นก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของยอดขายไม่ตรงตามเป้าที่วางเอาไว้เพราะยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนนั้นมีผลที่มาเบียดยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ในจีนและยุโรปอยู่บ้างแหละครับ

ส่วนสาเหตุที่สองคือเรื่องคนงานในโรงงานหลายคนทำงานตำแหน่งทับซ้อนกันจนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานนั้นไม่คุ้มกับค่าจ้างของพนักงานกันนะครับ

The US carmaker earlier this month instructed employees at its Shanghai facility to lower production of both the Model Y and Model 3 — the two vehicles Tesla makes in China — by working five days a week instead of the usual 6 1/2 days, the people said, asking not to be identified because they’re not authorized to speak publicly.

[แปล]Tesla เตรียมปลดพนักงานในโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Gigafactory เซี่ยงไฮ้มาจากกำลังการผลิตต่ำทั้ง Tesla Model Y และ Tesla Model 3 ทั้งนี้มาจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ในจีนไม่เป็นไปตามที่ Tesla คาดการณ์เอาไว้ โดยเฟสแรกนั้นจะทำการลด shift การทำงานของพนักงาน Tesla จาก 6 วันครึ่งเหลือ 5 วัน

พนักงานภายในองค์กร(ไม่ประสงค์ออกนาม) Tesla แจ้ง Bloomberg

คนงาน = ปัญหา ในสายตานายจ้าง(อเมริกา)

คนนั้นเป็นแรงงานที่สำคัญตลอดตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในปี พ.ศ.2303 หรือ ค.ศ. 1760 จนมาถึงทุกวันนี้และก็เป็น painpoint(จุดปวดใจ)ของเจ้าของธุรกิจเช่นกันเพราะค่าแรงของคนนั้นขึ้นทุกปี แถมมีการประท้วงในทุกๆ ปีในกรณีมีคนเจ็บจากการทำงานหรือสวัสดิการไม่ได้ตามต้องการ

ถ้าถามว่า คนงานที่มีคุณธรรมในโรงงานมีไหมก็ตอบได้เลยว่ามีแต่สุดท้ายแล้วถ้าพวกเค้าไม่ได้ขึ้นเงินเดือนหรือเพิ่มโบนัสหรือรับวันลาที่เหมาะสมก็ยากที่จะดึงตัวพวกเค้าเอาไว้อยู่กับเราครับ

Tesla เข้าใจปัญหานี้มาตลอดและบอกตามตรงว่า Tesla ไม่ใช่บริษัทแรกที่อยากเอาหุ่นยนต์มาแทนที่คน ก่อนหน้านี้ก็มีบริษัท Fuyao (บริษัทผลิตกระจกรถ)ที่มาเปิดที่อเมริกาแล้วประสบปัญหาแรงงาน Union ที่พยายามเรียกร้องสารพัดในทุกๆวัน สุดท้าย Fuyao (ฟู๋เย่า)ก็ตัดสินใจเอา robot arm มาแทนที่คนงานในโรงงานทีละตำแหน่ง ไปเรื่อยๆ จนสามารถลดคนงานในโรงงานไปได้เกือบ 50 % จากจำนวนคนงานที่มีอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ฟู๋เย่าก็ไม่สามารถลดคนงานให้ไม่เหลือซักคนในโรงงานเพราะ station บาง station ต้องการมนุษย์เข้าไปทำงาน สุดท้ายสิ่งที่ฟู๋เย่าทำได้ก็แค่ประคองและเก็บคนที่หัวอ่อนเอาไว้ที่โรงงาน ส่วนคนไหนชอบ union มากๆ ก็ใช้วิธีต่างๆ (รวมไปถึงการเมืองภายในโรงงาน) เชิญออกเป็นธรรมดา

Tesla Optimus นั้นมาแทนที่พนักงานในโรงงาน

ส่วน Tesla นั้นมองว่าถ้าอยากจะสู้กับการแข่งขันราคาขายรถยนต์ไฟฟ้ากับค่ายจีนให้ได้ก็ต้องทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงกว่านี้ ซึ่งหุ่นยนต์นั้นทำได้เพราะไม่มีค่าจ้าง , ไม่ง่วง(ทำงานได้ 24 ชั่วโมง), ไม่ลาคลอด, ลาพักร้อน, ติดโควิด, และประท้วงเรื่องค่าจ้าง ทำให้ Tesla หายปวดหัวเรื่องพวกนี้ไปได้เลยถ้าโปรเจคนี้ train AI (ฝึก AI) สำเร็จนะครับ

วิธีการฝึก AI ของ Tesla ก็มาจากการที่ให้คนมาสร้าง Ground Truth (ข้อมูลที่ถูกต้อง 100%) ให้ AI ได้เลียนแบบท่าทางการเคลื่อนไหวผ่านอุปกรณ์ teleoperation ที่มีทั้ง HMD(Head Monitor Display : อารมณ์เหมือนเครื่อง VR ใส่ที่หัว) และ Gesture Glove(ถุงมือ)ที่เอาไว้ใช้เลียนแบบการเคลื่อนไหวของมือมนุษย์

จากนั้นก็เอาสถานการณ์ต่างๆ ภายในโรงงานมาฝึกหุ่นยนต์เหล่านี้ให้สามารถทำงานใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด

เป้าหมายคือลดภาระของมนุษย์ที่จะต้องมาทำงานในโรงงานและมีโอกาสเกิดอันตรายครับ แต่เอาจริงๆ ในมุมมองของนายจ้างนั้นฝึกหุ่นยนต์แค่ครั้งเดียว แต่สามารถ install training data (ข้อมูลที่ฝึกมาแล้ว)ให้กับหุ่นยนต์เป็น 1,000 ตัวในโรงงานได้สบายๆ เรียกได้ว่า ถ้าในอนาคตจะเอาหุ่นยนต์ไปทำงาน station อื่นๆ ในโรงงานก็ไม่ต้องฝึกงานกันใหม่ครับ แค่ส่งข้อมูลเข้าสมองหุ่นยนต์ก็ทำงานได้เหมือนพนักงานอีก station ในโรงงานได้ทันทีครับ

BLINK DRIVE TAKEฃ

Tesla เป็นบริษัทที่มองการณ์ไกลอยู่เสมอครับ การที่ Tesla ปลดคนงานออกในปีนี้แบบไม่ทันตั้งตัวถึง 14,000 คนนั้นน่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือตัดสินใจโดยไม่วางแผนมาก่อนนะครับ เราคงต้องมาดูว่า หุ่นยนต์ Optimus จะเริ่มทำงานในโรงงานเดือนไหนในปีนี้กันนะครับ

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกก่อนว่าค่าแรงในอเมริกานั้นค่อนข้างแพงครับ ค่าแรงเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ $100 หรือ 3,700 บาทต่อวัน ดังนั้น ถ้าเอาหุ่นยนต์มาแทนที่พนักงานในโรงงานได้ 50 ตำแหน่ง(2 กะ)ก็ลดค่าแรงได้วันล่ะ 370,000 บาทต่อวันนะครับ ส่วนประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ที่ค่าแรงยังไม่แพงนั้นอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบภายใน 1-2 ปีนี้ครับ เพราะการลงทุนหุ่นยนต์นั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ช่วงแรกเรายังไม่เห็นการ disrupt เหล่านี้หรอกครับ แต่ถ้าไทยเราไม่เตรียมตัวเข้าสู่ยุค AI จริงๆ ล่ะก็ แรงงานไทยอาจจะประสบปัญหาแบบนี้ก็ได้ในอนาคตครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email