Blink Blink
Latest news
EV CarsTesla

รถพ่วง Tesla(Semi-Truck) เปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 4.8 ล้านบาท($150,000) วิ่งได้ไกลถึง 480 km

จุดกำเนิด Semi Truck ไอเดีย

ก่อนอื่นขอท้าวความกลับไปยังปี 2017 หรือ 2560 ซึ่งเป็นปีที่เทสล่าประสบปัญหาส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3 ตอนนั้นมีแต่คนมองว่า เทสล่ากำลังจะเจ๊ง เพราะติดปัญหาส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้ลูกค้าไม่ทัน พวกสำนักข่าว(ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า มีใครอยู่เบื้องหลังไหม พูดแค่สำนักข่าวก็พอเนอะ) รวมจวกหัว Elon Musk เช้า-เย็นเลย เรียกได้ว่า บริษัท Tesla นั้นโดนโจมตีจากแหล่งข่าวเกือบทุกสำนักในอเมริกาและยุโรป เช่น Foxx news, CNN, Fortune, CNBC, และสำนักข่าวอื่นๆ อีกมากมาย

ข่าวจาก CBNC พาดหัวว่า Tesla ประสบปัญหาในการผลิตเพราะsupplier ส่งของให้ผลิตไม่ทัน
ที่มา : CBNC
หัวข่าว : Tesla model 3 ผลิตได้ไม่ตรงกับที่ Elon Musk สัญญาเอาไว้ ซึ่ง ณ เดือนนั้น tesla สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3 ได้เพียง 220 คันต่อเดือนเท่านั้น (น้อยมากๆ )
ที่มา : fortune

นั่นเป็นสาเหตุให้เทสล่าต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว ไม่งั้นลูกค้าและผู้ถือหุ้นจะหมดศรัทธา ถือว่าเป็น challenge ที่โหดร้ายมากๆ เพราะตั้งแต่ Tesla เปิดบริษัทมา ยังไม่เคยได้รับยอดจองรถมากมายถึงเพียงนี้ เพราะมีคนเข้าไปซื้อใบจองรถมากถึง 325,000 ใบ ซึ่งใบจอง 1 ใบราคา $1,000 (32,000 บาท)นะครับ(โหแค่เงินค่าใบจองก็เอาไปเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ได้แล้ว ตั้ง 1 หมื่นล้านบาทแนะ) ไม่ได้จองกันฟรี แถมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังไม่เคยผลิตสู่ท้องตลาดเลย ถ้าผลิตออกมาครั้งล่ะเยอะๆ แล้วเกิดรถ deflect(มีตำหนิ) แล้วล่ะก็ ได้ recall (เรียกกลับมาซ่อม) กันมัน กลับกลายเป็นว่า แทนที่จะขายรถได้กำไร กลายเป็นขายรถเพื่อทำบริษัทพัง เพราะต้องมาตามแก้ไข error หรือ deflect ต่างๆ ของ product(รถยนต์ไฟฟ้า) ที่ตัวเองขายออกไป

กราฟหุ้น Tesla พร้อมกับรายงานเหตุการณ์เกี่ยวกับ model 3 ในแต่ล่ะช่วงของปี 2017

เทสล่าจึงได้แต่ยื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ เพราะผลิตไม่ทันจริงๆ ตอนนั้นผมจำได้ว่า เทสล่าสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า model 3 ได้เพียง 220 คันต่อเดือนนะครับ ซึ่งน้อยมากๆ แหล่งข่าวเลยโจมตีเลยว่า ถ้าไม่มีประสิทธิภาพในการผลิตก็อย่าสะเอ่อบอกลูกค้าตั้งแต่แรกว่า ผลิตทันแน่นอน (โหตอนนั้นผมสงสาร เฮียอีลอนมากๆ เพราะตื่นเช้ามามีแต่ข่าวบอกว่า Tesla จะ bankrupt(ล้มละลาย) ทุกวัน) ณ ตอนนี้หรอ ส่งมอบหมดไปตั้งแต่ต้นปีแล้วจ้า แถมเอาเทสล่าไม่ต่ำกว่า 5,000 คันรุกตลาดจีน , ดันเทสล่ามากกว่า 10,000 คันไปยุโรปเรียบร้อยแล้ว กำลังผลิตปัจจุบันกลายเป็น 5,000 คัน ต่อสัปดาห์(20,000 คันต่อเดือน) หรือให้กำลังผลิตมากกว่า ปี 2017 อยู่ 10 เท่าครับ

ที่มา : electrek

กลับไปยังช่วงเวลาปลายปี 2017 , Elon Musk นั้นต้องดิ้นให้ถึงที่สุดเพื่อให้บริษัทอยู่รอดจึงทำการเปิดตัวรถพ่วงบรรทุกไฟฟ้า(Tesla Semi-truck) , และ รถ sport ไฟฟ้า 2 ประตู (Tesla Roadster 2) เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกนักข่าวและประชาชน

งานเปิดตัว Tesla Semi Truck ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2017 (2560)

จากนั้นก็เปิดให้ทำการจองรถ 2 คันนี้อีกด้วย

Tesla Roadster

1. Tesla roadster นั้นเปิดให้จองโดยลูกค้าต้องวางเงินมัดจำมากถึง 1.6 ล้านบาท($50,000) เพื่อซื้อใบจองรถ ในขณะที่ตัวรถมีราคา 6.4 ล้านบาท แถมวางเงินไปแล้วกว่าจะได้ขับรถคันนี้ก็อีก 3 ปี เรียกว่า ถ้าไม่รักจริงนี่ไม่เอาเงินมาวางทิ้งเอาไว้ 3 ปีแหละครับ

แต่เดี๋ยวก่อนถ้าคุณไม่อยากเหมือนใคร คือ อยากซื้อรุ่น Founder Series (คนฝรั่งชอบซื้ออะไรก็ซื้อแบบสุดแหละครับ) ซึ่งรุ่นนี้จะมีความพิเศษกว่ารุ่นธรรมดาโดยผลิตออกมา limited แถมพอเริ่มวางขายแล้ว รุ่น Founder Series จะหมดตลาดทันทีเพราะเลิกผลิตไปเลย ดังนั้นใครก็ตามที่ถือ founder edition ก็เหมือนซื้อของสะสม ซึ่งอนาคตราคารถคันนี้อาจจะแพงกว่าตอนซื้อมือหนึ่งก็เป็นได้(อันนี้แล้วทิศทางของบริษัทด้วยครับ) โดยรุ่น Founder Series ราคาทั้งคันอยู่ที่ $250,000 หรือ 8 ล้านบาท แต่เดี๋ยวก่อนครับ คุณต้องวางเงินมัดจำเป็นจำนวน $200,000 หรือ 6.4 ล้านบาท คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ คุณต้องวางเงินมัดจำเพื่อซื้อใบจองรถรุ่น Founder Series เป็นเงินมากถึง 80% ของราคารถ

ที่มา : Tesla

บ้าไปแล้ว !!! แต่การทำแบบนี้ ทำให้ Tesla มีเงินไปหมุนต่อเพื่อลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3 ครับ ได้ข่าวมาว่า ยอดจอง Roadster นั้นพุ่งทะลุ 2,000 คันไปแล้ว คิดเล่นๆ เอาแล้วกันครับ ว่า ใบจองรถใบล่ะ 1.6 ล้านบาท x 2,000 คัน (โห เยอะน่าดู) นี่ผมยังไม่เอา Founder Series มารวมนะครับ ไม่อยากจะนึกเลยว่า แค่เงินจองก็เอาไปเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ที่ไทยได้สบายๆ แล้วครับ ส่วนใครก็ตามที่วางเงินจองวันที่เปิดตัวก็จะสามารถขึ้นไปนั่งรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster ฟรี จากนั้นพนักงาน Tesla จะเร่งเครื่อง เอ้ย เหยียบคันเร่งโชว์ความเร็วให้ดู อย่างคลิปด้านล่างนี้ครับ

2. Tesla Semi Truck – ตอนเปิดตัว ผมก็ร้องว้าวกับสรรพคุณ เกินคำบรรยายเลย เช่น ติดตั้งมอเตอร์ทั้งหมด 4 ล้อหลังดังนั้นแรงบิดนั้นเหนือกว่า Semi-truck ทุกคันบนโลกไปเลยครับ แถม power loss นั้นน้อยมากๆ เพราะเป็นระบบไฟฟ้า มอเตอร์หมุนปุ๊บล้อหมุนปั๊บ ไม่มีเพลา, ไม่มีข้อเหวี่ยง, กรองไอดี, ไอเสีย ให้มาแบ่งพลังงานออกไปใช้อย่างสิ้นเปลือง

ระบบขับเคลื้่อนทั้งคันมีแค่นี้ : กล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นคือ แบต, ส่วนที่อยู่ระหว่างล้อนั้นคือ มอเตอร์ ดูเรียบง่ายดีไหมครับ?

แต่ที่ตลกกว่านั้นคือ Elon Musk ประกาศเอาไว้ในงานว่า Tesla Semi Truck นี้จะผลิตออกมาเพื่อให้เช่าขับโดยคิดราคาเป็นระยะทางที่ขับ ทุกคนในงานถึงกับงงว่า ทำไมไม่ขายว่ะ แต่เค้าเพิ่งมาเปิดราคาขายวันนี้นี่เอง ทำให้กลายมาเป็นที่มาของโพสข่าว : “รถพ่วง Tesla(Semi-Truck) เปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 4.8 ล้านบาท($150,000) วิ่งได้ไกลถึง 480 km” และมีรุ่น extended range (วิ่งได้ 500 ไมล์(800 km)) ราคา 5.76 ล้านบาท ($180,000)

ภาพถ่าย Tesla Semi Truck วิ่งคู่ขนานกับ Tesla model S

รูปร่าง หน้าตา Tesla Semi Truck ปี 2019

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณภาพจากนาย Jerome Mends-Cole ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ SacTesla นั่นก็คือ บริษัทให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla นาย Jerome คนนี้ก็บังเอิญเข้าไปพบเจอ Tesla Semi Truck(รถพ่วง)คันนี้เข้าที่ Tesla Store สาขา Rocklin เค้าจึงเดินเข้าไปขอถ่ายรูปรถแล้วนำมาฝากทุกท่านกันนะครับ

อ่อ ผมลืมบอกไปเนอะ ในเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องยนต์แล้ว ดังนั้นฝากระโปรงหน้า Tesla Semi Truck จึงกลายเป็น Frunk หรือ ย่อมาจาก คำว่า Front Trunk แปลว่า ที่ใส่ของหน้ารถ

เท่าที่ผมดูด้วยตาเปล่านี้ พื้นที่ตรงนี้สามารถยัดกระเป๋าเดินทางได้มากถุง 3 ใบสบายๆ

ตอนนี้ Tesla ออกมาประกาศแล้วว่า มีคนสั่งจองรถ Tesla Semi Truck ไปมากกว่า 1,000 คนแล้ว และอย่างที่บอกว่า รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทุกคันไม่ได้จองกันฟรีๆ ดังนั้นผู้ซื้อต้องจ่ายเงินค่าใบจองในราคา $20,000 หรือ 6.4 แสนบาท (โห !!) คิดเล่นๆ นะครับ มีคนจองไป 1,000 คนแล้วก็แสดงว่า บริษัทได้เงินจองไปมากถึง 640 ล้านบาท รถพ่วงบรรทุก Tesla Semi Truck คันนี้จะออกวางขายปีหน้าที่จะถึงนี้แล้ว ส่วนรูปภาพรถพ่วง Tesla Semi Truck ที่คุณเห็นวิ่งเล่นบนถนนนั้นเป็นการทดสอบวิ่งของบริษัท Tesla ครับ รถพ่วง Tesla Semi Truck ทุกคันในตอนนี้เป็นของ Tesla ทั้งหมด แต่หลังจากปีหน้าเป็นต้นไปจะขายให้ UPS, DHL, แล้วก็ยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ครับ

ที่มาของรูปภาพและข่าว : electrek

ค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่ 5 บาทต่อ km ($0.2 ต่อ mile)

คราวนี้ผมขอเอารถพ่วง Tesla Semi Truck มาทำ cost factor เพื่อให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบรรทุกของหน่อยนะครับ

เริ่มต้นที่รถพ่วง Tesla Semi Truck สามารถบรรทุกของได้หนักถึง 80,000 ปอนด์หรือ 36,363 กิโลกรัม (36 ตัน)นี่เอง โดยตอนที่รถ Tesla Semi Truck นั้นได้บรรทุกของเต็มพิกัดแล้ว จะกินไฟน้อยกว่า 2 kWh ต่อ ไมล์ แต่ผมจะทำให้เลขมันกลมๆ เลยตั้งเอาไว้ที่ 2 kWh ต่อ ไมล์ล่ะกัน หรือเรียกว่าวิ่งไป 1.6 km จะกินไฟ 2 หน่วย

คราวนี้ไฟ 1 หน่วยที่ไทยราคา 4 บาทเนอะ ถ้าต้องการรู้ว่า 1 km กินไฟเท่าไหร่ต้องเขียนแบบนี้

1.6 km = 2 kWh
1 km = 2/1.6 = 1.25 kWh
วิ่ง 1 km กินไฟ 1.25 หน่วย
หรือเทียบเท่า 1.25 หน่วย x 4 บาท = 5 บาท

ภาพ : ภายในห้องโดยสาร Tesla Semi Truck

คิดเล่นๆ นะครับ รถคันนี้วิ่งได้ 480 km เรียกได้ว่า ชาร์จไฟเข้าไปประมาณ 1.25 x 480 = 600 kWh ซึ่งจะเทียบเท่ากับค่าไฟประมาณ 600 x 4 = 2,400 บาท (เห้ย ถูกกว่า ค่าขนส่งของรถกระบะซะอีก) วิ่งรถ 480 km พร้อมของหนัก 36 ตัน เสียค่าเชื้อเพลิง(ค่าไฟ)ไป 2,400 บาท แบบนี้ DHL หรือ Walmart ก็ต้องคิดคำนวณดีๆ แหละครับ ว่า เส้นทางไหนวิ่งไม่เกิน 480 km ต่อครั้งก็เอารถคันนี้ไปวิ่งแทน

รถบรรทุกดีเซลอเมริกาเค้าใช้จ่ายเชื้อเพลิงที่อัตราเท่าไหนกันเนอะ

รถบรรทุกที่ท่านเห็นอยู่ด้านบนนี้คือรถบรรทุกขนาดเดียวกันกับรถ Tesla Semi Truck แต่นี่คือ รถบรรทุกดีเซลที่มีเครื่องยนต์ยักษ์ขนาด 14.8 ลิตร มี 6 สูบ, 560 แรงม้า, แรงบิดที่ 1,850 lb-ft ซึ่งกินน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 5.6 ไมล์ต่อแกลลอน

ที่มา : popular mechanic

เอาล่ะเราได้โจทย์มาแล้วว่า รถบรรทุกในอเมริกาส่วนใหญ่กินน้ำมันอยู่ที่ 5.6 ไมล์ต่อแกลลอน(US) ดังนั้นผมจะทำการ convert(แปลงค่า) เดี๋ยวบัดนี้แหละ

รอบนี้ไม่เอาคำนวณ GMAT แล้ว กดสูตรผ่าน google เลยล่ะกัน

ค่าน้ำมันรถพ่วงบรรทุก : 10 บาทต่อ km

ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า รถบรรทุกดีเซลนั้นกินน้ำมันที่ 2.3 km ต่อลิตร งั้นเอาราคาน้ำมันดีเซลในอเมริกามาเชคกันหน่อยไหม

ราคาน้ำมันดีเซล $3.043 ต่อ gallon US ณ วันที่ 24 มิถุนายน

เรียกได้ว่า 1 gallon US ราคา 3.043 เหรียญ(93.63 บาท) หรือ 1 ลิตรเท่ากับ 24.73 บาท
น้ำมันดีเซลในอเมริกาลิตรล่ะ 24.73 บาทครับ

2.3 km ใช้น้ำมัน 1 ลิตร
1 km ใช้น้ำมัน 0.43 ลิตร หรือเท่ากับ 24.73 x 0.43 = 10 บาทต่อ km

แค่ค่าเชื้อเพลิงของรถพ่วงดีเซลก็แพงกว่ารถพ่วง Tesla Semi Truck ไปเท่าตัวแล้วครับ
นี่ยังไม่รวมค่าซ่อม, ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง 14 ลิตรทุกๆ 5,000 ไมล์อีกนะครับ ไม่อยากจะคิดเลยว่า ระยะยาวแล้ว องค์กรต่างๆ คงต้องทำการลดค่าใช้จ่ายโดยการหนีไปใช้บริการรถพ่วง Tesla Semi Truck แหละครับ ส่วนเส้นทางที่วิ่งไกลๆ มากกว่า 500 km ขึ้นไปก็ยังต้องใช้รถพ่วงดีเซลกันอยู่ครับ

อัตราเร่ง 0-100 km/h แรงพอๆกับ Toyota Supra 2019

ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า อัตราเร่งของรถพ่วง Tesla Semi Truck นั้นมี 2 อัตราคือ

1.แบบ full load (บรรจุของเต็มพิกัด 36 ตัน) กับ empty load (รถพ่วงเปล่าๆ เฉยๆ) ซึ่งอัตราเร่ง 0-100 km/h ของรถพ่วง Tesla Semi Truck เฉพาะหัวพ่วงอย่างเดียวจะอยู่ที่ 5 วินาที ท่านฟังไม่ผิดหรอกครับ รถพ่วงวิ่ง 5 วินาที นี่เอาไปซัดกับ Honda civic turbo ได้สบายๆเลย ส่วน รถพ่วงดีเซลที่อเมริกานั้น แค่หัวพ่วงอย่างเดียวต้องใช้เวลามากถึง 15 วินาทีกว่าจะสามารถเร่งจาก 0 ไปถึง 100 km/h ได้ครับ ยังไงก็ตามสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็นนะครับ ผมเอาคลิปรถพ่วง Tesla Semi Truck มาแชร์ให้ดูด้านล่างนี้ด้วย เผื่อใครไม่เชื่อ ท่านก็แชร์ไปให้พวกเค้าเลยครับ

ในขณะที่ด้านรถยนต์น้ำมันนั้นก็ทำความเร็วได้ 5 วินาทีเหมือนกัน แต่ไปอยู่ในร่างของ รถยนต์ sport Toyota Supra 2019 แทน ถ้าจะเทียบ Top Speed กัน ซึ่งรถพ่วงเค้าจำกัดให้วิ่งไม่เกิน 65 mph หรือ 104 km/h อยู่แล้ว รถพ่วงคงสู้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าอัตราเร่งแล้วล่ะก็ อนาคตผมว่าได้เห็นรถพ่วงซัดกับรถ sport พวกนี้แถวๆ 4 แยกแน่นอน อย่างน้อยก็ดึงได้ 4-5 เสาไฟล่ะครับ ฮ่า ๆ

2. อัตราเร่งแบบ full load (แบกของ 36 ตัน)นั้นก็ไม่ได้น่าเกลียดมา ซึ่ง 0-100 km/h อยู่ที่ 20 วินาที ผมมีคลิปตอนเร่งมาให้ดูด้วย เรียกว่า เหยียบไม่เห็นฝุ่น ไม่เห็นใจรถพ่วงดีเซลกันเลยทีเดียว

Tesla Semi Truck มีให้เลือก 3 รุ่น

ที่มา : https://www.tesla.com/semi
  1. รถพ่วง Tesla Semi Truck (รุ่น 300 ไมล์, [480 km]) ราคา 4.8 ล้านบาท ($150,000 )
  2. รถพ่วง Tesla Semi Truck (รุ่น 500 ไมล์ , [800 km]) ราคา 5.76 ล้านบาท($180,000)
  3. รถพ่วง Tesla Semi Truck รุ่น Founders Series ราคา 6.4 ล้านบาท($200,000) Range : N/A

หมายเหตุ : 2 รุ่นแรก นั้นวางเงินจองเพียง 6.4 แสนบาท($20,000) ส่วนรุ่น founders series นั้นต้องวางเงินจองเท่ากับราคาตัวรถ

ชาร์จเต็ม 80 % ภายใน 30 นาที

รถพ่วงไฟฟ้า Tesla Semi Truck นั้นใช้แบตแบบเดียวกันกับ Tesla model 3 ดังนั้นการทำ parallel charge ให้ได้ความไวเท่ากับ model 3 นั้นเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้วโดยบริษัทบอกว่า รถพ่วงไฟฟ้า Tesla Semi Truck คันนี้สามารถชาร์จไฟผ่านพอร์ท Mega Charger ให้เต็ม 80 % ได้ภายใน 30 นาที ซึ่งจะสามารถวิ่งได้ 640 km สบายๆ

หัวชาร์จแบบ mega charger
ที่มาของข้อมูลการชาร์จเร็ว :
https://en.wikipedia.org/wiki/Tesla_Semi

BLINK DRIVE TAKE

ผมเอาตารางเปรียบเทียบอัตราการเร่งของรถพ่วงต่างๆ มาให้ดูด้วย จะเห็นว่า 0-100 km/h นั้น(full load) รถพ่วงดีเซลปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 1 นาที ส่วนรถพ่วง hydrogen ของ Nikola one นั้นใช้เวลา 30 วินาที และเปิดท้ายด้วยรถพ่วงไฟฟ้า Tesla Semi Truck ใช้เวลาเพียง 20 วินาที หลังจากที่พวกท่านได้เห็นวิดีโอด้านบนนี้แล้วก็คงเป็นข้อพิสูจน์แล้วล่ะว่า อนาคตอันใกล้นี้ ธุรกิจอีกตัวที่จะหดหายไปก็คงเป็นรถพ่วงดีเซลของอเมริกานั่นเองครับ เพราะรถพ่วง hydrogen เอย , รถพ่วงไฟฟ้าเอย จะเข้ามาแทนที่อย่างแน่นอน

ทำไมต้องรถพ่วงไฟฟ้า?

รูปนี้คงบอกได้เต็มๆ ว่า พวกเราทำให้อากาศและอุณหภูมิเปลี่ยนไป โลกเลยหาทางทำให้เกิดความสมดุลโดยสร้างภัยธรรมชาติมาลบล้างสิ่งเหล่านั้นมั้งครับ ฮ่า ๆ

ผมขอตอบแทนคนอเมริกาเลยนะครับ เพราะรถพ่วงนี่แหละที่ถูกนำมาใช้งานหนักที่สุดแล้ว และกินน้ำมันหนักมาก คิดดูว่า ปีๆ นึงรถพ่วงคนนึงนั้นใช้วิ่งเป็น 100,000 km สบายๆ (ถนนอเมริกานั้นยาวมาก ทำให้การใช้งานรถพ่วงนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก) แล้วพวกท่านลองคิดตามว่าการใช้งานรถพ่วงที่ 100,000 km ต่อปีนั้นกินน้ำมันดีเซลไปมากกว่า 50,000 ลิตรนะครับ ดังนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ดีเลยที่เทสล่าจะเข้ามาลดการบริโภคน้ำมันและทำให้อากาศในประเทศอเมริกาสะอาดยิ่งขึ้น

Tesla Semi Truck กับตัวพ่วงบรรทุกรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3

ผมมองว่า การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นเป็นหน้าที่ของทุกคนครับ ไม่ใช่ของห้างร้านบริษัทใหญ่เลย อย่างหน้าที่ของผมคือเขียนข่าวรถยนต์ไฟฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อให้พวกคุณได้นำไปแชร์บอกลูกหลานเราว่า “พวกเราขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เด็กๆ อย่างพวกนายเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแย่ๆ แบบนี้” ดังนั้นเพื่อชดเชยในการกระทำของบรรพบุรุษเรา เราควรจะหันมาใส่ข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ตามต่างประเทศให้ทันครับ

Tesla Semi Truck กับการใช้งานจริงบนท้องถนน

ผมแปลกใจมากๆที่บทความเหล่านี้ในอเมริกานั้นผลิตออกมาทุกๆ 4-5 ชั่วโมง แต่ประเทศไทยนั้นใช้เวลามากกว่า 5 วันในการแปลบทความพวกนี้ให้ออกมาเป็นโพส หรือถ้าบางบทความไม่เป็นเทรนของโลกจริงๆ ก็ข้ามไปเลยไม่แปล ดังนั้น Blink Drive จะอาสาแปลบทความรถยนต์ไฟฟ้าก่อนใครเพื่อน(จุดประสงค์แล้ว จะทำให้เกิดการแข่งขันระยะยาวในการเข้าถึงบทความรถยนต์ไฟฟ้าได้เร็วขึ้น คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือผู้อ่านครับ) เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงแก่นกลางของเทคโนโลยียานยนต์ต่างประเทศได้รวดเร็วกว่าเพื่อนบ้าน และก็อาสาแปลบทความพาหนะไฟฟ้าต่างๆ ที่ยังไม่มีคนไทยเข้ามาแปลนะครับ

ส่วนใครเป็นเพจรถยนต์ไฟฟ้าแล้วได้เข้ามาอ่านก็เอาบทความผมไปใช้ได้เลย แล้วจะแปล on-top (ให้มากกว่า) ที่ผมแปลก็ได้ ผมยินดีแจกจ่ายให้ฟรีๆ เลย เพราะผมอยากเห็นลูกหลานของพวกเราเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่โตมาแล้วต้องเข้า โรงพยาบาลบ่อยๆ เพราะปอดอักเสบจากฝุ่น PM 2.5 บ้าง , ติดเชื้อในกระแสเลือดเพราะสูดอากาศไม่บริสุทธิ์สะสมเป็นเวลานานบ้าง จากนั้นรัฐบาลค่อยทำนโยบายรักษาฟรี หรือ รักษาเด็กเหล่านี้ราคาถูก นั่นมันเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุครับ

อเมริกาเค้ารู้ว่า การใช้รถยนต์น้ำมันมันทำร้ายคนรอบข้าง เค้าจึงหาวิธีแก้ไขให้เร็วที่สุด ก่อนที่ลูกหลานเค้าจะไม่มีอากาศบริสุทธิ์ให้ใช้หายใจกันครับ

ถ้าไม่ใช่เราแล้วใครครับ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้แล้วเมื่อไหร่ครับ

ฝากเอาไปเป็นการบ้านให้ทุกท่านได้คิดกันด้วยนะครับ

stay tune with blink drive :
https://www.facebook.com/blinkdrive555/

Follow by Email