จุดกำเนิด Semi Truck ไอเดีย
ก่อนอื่นขอท้าวความกลับไปยังปี 2017 หรือ 2560 ซึ่งเป็นปีที่เทสล่าประสบปัญหาส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3 ตอนนั้นมีแต่คนมองว่า เทสล่ากำลังจะเจ๊ง เพราะติดปัญหาส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้ลูกค้าไม่ทัน พวกสำนักข่าว(ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า มีใครอยู่เบื้องหลังไหม พูดแค่สำนักข่าวก็พอเนอะ) รวมจวกหัว Elon Musk เช้า-เย็นเลย เรียกได้ว่า บริษัท Tesla นั้นโดนโจมตีจากแหล่งข่าวเกือบทุกสำนักในอเมริกาและยุโรป เช่น Foxx news, CNN, Fortune, CNBC, และสำนักข่าวอื่นๆ อีกมากมาย
นั่นเป็นสาเหตุให้เทสล่าต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว ไม่งั้นลูกค้าและผู้ถือหุ้นจะหมดศรัทธา ถือว่าเป็น challenge ที่โหดร้ายมากๆ เพราะตั้งแต่ Tesla เปิดบริษัทมา ยังไม่เคยได้รับยอดจองรถมากมายถึงเพียงนี้ เพราะมีคนเข้าไปซื้อใบจองรถมากถึง 325,000 ใบ ซึ่งใบจอง 1 ใบราคา $1,000 (32,000 บาท)นะครับ(โหแค่เงินค่าใบจองก็เอาไปเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ได้แล้ว ตั้ง 1 หมื่นล้านบาทแนะ) ไม่ได้จองกันฟรี แถมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังไม่เคยผลิตสู่ท้องตลาดเลย ถ้าผลิตออกมาครั้งล่ะเยอะๆ แล้วเกิดรถ deflect(มีตำหนิ) แล้วล่ะก็ ได้ recall (เรียกกลับมาซ่อม) กันมัน กลับกลายเป็นว่า แทนที่จะขายรถได้กำไร กลายเป็นขายรถเพื่อทำบริษัทพัง เพราะต้องมาตามแก้ไข error หรือ deflect ต่างๆ ของ product(รถยนต์ไฟฟ้า) ที่ตัวเองขายออกไป
เทสล่าจึงได้แต่ยื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ เพราะผลิตไม่ทันจริงๆ ตอนนั้นผมจำได้ว่า เทสล่าสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า model 3 ได้เพียง 220 คันต่อเดือนนะครับ ซึ่งน้อยมากๆ แหล่งข่าวเลยโจมตีเลยว่า ถ้าไม่มีประสิทธิภาพในการผลิตก็อย่าสะเอ่อบอกลูกค้าตั้งแต่แรกว่า ผลิตทันแน่นอน (โหตอนนั้นผมสงสาร เฮียอีลอนมากๆ เพราะตื่นเช้ามามีแต่ข่าวบอกว่า Tesla จะ bankrupt(ล้มละลาย) ทุกวัน) ณ ตอนนี้หรอ ส่งมอบหมดไปตั้งแต่ต้นปีแล้วจ้า แถมเอาเทสล่าไม่ต่ำกว่า 5,000 คันรุกตลาดจีน , ดันเทสล่ามากกว่า 10,000 คันไปยุโรปเรียบร้อยแล้ว กำลังผลิตปัจจุบันกลายเป็น 5,000 คัน ต่อสัปดาห์(20,000 คันต่อเดือน) หรือให้กำลังผลิตมากกว่า ปี 2017 อยู่ 10 เท่าครับ
ที่มา : electrek
กลับไปยังช่วงเวลาปลายปี 2017 , Elon Musk นั้นต้องดิ้นให้ถึงที่สุดเพื่อให้บริษัทอยู่รอดจึงทำการเปิดตัวรถพ่วงบรรทุกไฟฟ้า(Tesla Semi-truck) , และ รถ sport ไฟฟ้า 2 ประตู (Tesla Roadster 2) เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกนักข่าวและประชาชน
จากนั้นก็เปิดให้ทำการจองรถ 2 คันนี้อีกด้วย
1. Tesla roadster นั้นเปิดให้จองโดยลูกค้าต้องวางเงินมัดจำมากถึง 1.6 ล้านบาท($50,000) เพื่อซื้อใบจองรถ ในขณะที่ตัวรถมีราคา 6.4 ล้านบาท แถมวางเงินไปแล้วกว่าจะได้ขับรถคันนี้ก็อีก 3 ปี เรียกว่า ถ้าไม่รักจริงนี่ไม่เอาเงินมาวางทิ้งเอาไว้ 3 ปีแหละครับ
แต่เดี๋ยวก่อนถ้าคุณไม่อยากเหมือนใคร คือ อยากซื้อรุ่น Founder Series (คนฝรั่งชอบซื้ออะไรก็ซื้อแบบสุดแหละครับ) ซึ่งรุ่นนี้จะมีความพิเศษกว่ารุ่นธรรมดาโดยผลิตออกมา limited แถมพอเริ่มวางขายแล้ว รุ่น Founder Series จะหมดตลาดทันทีเพราะเลิกผลิตไปเลย ดังนั้นใครก็ตามที่ถือ founder edition ก็เหมือนซื้อของสะสม ซึ่งอนาคตราคารถคันนี้อาจจะแพงกว่าตอนซื้อมือหนึ่งก็เป็นได้(อันนี้แล้วทิศทางของบริษัทด้วยครับ) โดยรุ่น Founder Series ราคาทั้งคันอยู่ที่ $250,000 หรือ 8 ล้านบาท แต่เดี๋ยวก่อนครับ คุณต้องวางเงินมัดจำเป็นจำนวน $200,000 หรือ 6.4 ล้านบาท คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ คุณต้องวางเงินมัดจำเพื่อซื้อใบจองรถรุ่น Founder Series เป็นเงินมากถึง 80% ของราคารถ
ที่มา : Tesla
บ้าไปแล้ว !!! แต่การทำแบบนี้ ทำให้ Tesla มีเงินไปหมุนต่อเพื่อลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3 ครับ ได้ข่าวมาว่า ยอดจอง Roadster นั้นพุ่งทะลุ 2,000 คันไปแล้ว คิดเล่นๆ เอาแล้วกันครับ ว่า ใบจองรถใบล่ะ 1.6 ล้านบาท x 2,000 คัน (โห เยอะน่าดู) นี่ผมยังไม่เอา Founder Series มารวมนะครับ ไม่อยากจะนึกเลยว่า แค่เงินจองก็เอาไปเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ที่ไทยได้สบายๆ แล้วครับ ส่วนใครก็ตามที่วางเงินจองวันที่เปิดตัวก็จะสามารถขึ้นไปนั่งรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster ฟรี จากนั้นพนักงาน Tesla จะเร่งเครื่อง เอ้ย เหยียบคันเร่งโชว์ความเร็วให้ดู อย่างคลิปด้านล่างนี้ครับ
2. Tesla Semi Truck – ตอนเปิดตัว ผมก็ร้องว้าวกับสรรพคุณ เกินคำบรรยายเลย เช่น ติดตั้งมอเตอร์ทั้งหมด 4 ล้อหลังดังนั้นแรงบิดนั้นเหนือกว่า Semi-truck ทุกคันบนโลกไปเลยครับ แถม power loss นั้นน้อยมากๆ เพราะเป็นระบบไฟฟ้า มอเตอร์หมุนปุ๊บล้อหมุนปั๊บ ไม่มีเพลา, ไม่มีข้อเหวี่ยง, กรองไอดี, ไอเสีย ให้มาแบ่งพลังงานออกไปใช้อย่างสิ้นเปลือง
แต่ที่ตลกกว่านั้นคือ Elon Musk ประกาศเอาไว้ในงานว่า Tesla Semi Truck นี้จะผลิตออกมาเพื่อให้เช่าขับโดยคิดราคาเป็นระยะทางที่ขับ ทุกคนในงานถึงกับงงว่า ทำไมไม่ขายว่ะ แต่เค้าเพิ่งมาเปิดราคาขายวันนี้นี่เอง ทำให้กลายมาเป็นที่มาของโพสข่าว : “รถพ่วง Tesla(Semi-Truck) เปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 4.8 ล้านบาท($150,000) วิ่งได้ไกลถึง 480 km” และมีรุ่น extended range (วิ่งได้ 500 ไมล์(800 km)) ราคา 5.76 ล้านบาท ($180,000)
รูปร่าง หน้าตา Tesla Semi Truck ปี 2019
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณภาพจากนาย Jerome Mends-Cole ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ SacTesla นั่นก็คือ บริษัทให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla นาย Jerome คนนี้ก็บังเอิญเข้าไปพบเจอ Tesla Semi Truck(รถพ่วง)คันนี้เข้าที่ Tesla Store สาขา Rocklin เค้าจึงเดินเข้าไปขอถ่ายรูปรถแล้วนำมาฝากทุกท่านกันนะครับ
อ่อ ผมลืมบอกไปเนอะ ในเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องยนต์แล้ว ดังนั้นฝากระโปรงหน้า Tesla Semi Truck จึงกลายเป็น Frunk หรือ ย่อมาจาก คำว่า Front Trunk แปลว่า ที่ใส่ของหน้ารถ
ตอนนี้ Tesla ออกมาประกาศแล้วว่า มีคนสั่งจองรถ Tesla Semi Truck ไปมากกว่า 1,000 คนแล้ว และอย่างที่บอกว่า รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทุกคันไม่ได้จองกันฟรีๆ ดังนั้นผู้ซื้อต้องจ่ายเงินค่าใบจองในราคา $20,000 หรือ 6.4 แสนบาท (โห !!) คิดเล่นๆ นะครับ มีคนจองไป 1,000 คนแล้วก็แสดงว่า บริษัทได้เงินจองไปมากถึง 640 ล้านบาท รถพ่วงบรรทุก Tesla Semi Truck คันนี้จะออกวางขายปีหน้าที่จะถึงนี้แล้ว ส่วนรูปภาพรถพ่วง Tesla Semi Truck ที่คุณเห็นวิ่งเล่นบนถนนนั้นเป็นการทดสอบวิ่งของบริษัท Tesla ครับ รถพ่วง Tesla Semi Truck ทุกคันในตอนนี้เป็นของ Tesla ทั้งหมด แต่หลังจากปีหน้าเป็นต้นไปจะขายให้ UPS, DHL, แล้วก็ยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ครับ
ที่มาของรูปภาพและข่าว : electrek
ค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่ 5 บาทต่อ km ($0.2 ต่อ mile)
คราวนี้ผมขอเอารถพ่วง Tesla Semi Truck มาทำ cost factor เพื่อให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบรรทุกของหน่อยนะครับ
เริ่มต้นที่รถพ่วง Tesla Semi Truck สามารถบรรทุกของได้หนักถึง 80,000 ปอนด์หรือ 36,363 กิโลกรัม (36 ตัน)นี่เอง โดยตอนที่รถ Tesla Semi Truck นั้นได้บรรทุกของเต็มพิกัดแล้ว จะกินไฟน้อยกว่า 2 kWh ต่อ ไมล์ แต่ผมจะทำให้เลขมันกลมๆ เลยตั้งเอาไว้ที่ 2 kWh ต่อ ไมล์ล่ะกัน หรือเรียกว่าวิ่งไป 1.6 km จะกินไฟ 2 หน่วย
คราวนี้ไฟ 1 หน่วยที่ไทยราคา 4 บาทเนอะ ถ้าต้องการรู้ว่า 1 km กินไฟเท่าไหร่ต้องเขียนแบบนี้
1.6 km = 2 kWh
1 km = 2/1.6 = 1.25 kWh
วิ่ง 1 km กินไฟ 1.25 หน่วย
หรือเทียบเท่า 1.25 หน่วย x 4 บาท = 5 บาท
คิดเล่นๆ นะครับ รถคันนี้วิ่งได้ 480 km เรียกได้ว่า ชาร์จไฟเข้าไปประมาณ 1.25 x 480 = 600 kWh ซึ่งจะเทียบเท่ากับค่าไฟประมาณ 600 x 4 = 2,400 บาท (เห้ย ถูกกว่า ค่าขนส่งของรถกระบะซะอีก) วิ่งรถ 480 km พร้อมของหนัก 36 ตัน เสียค่าเชื้อเพลิง(ค่าไฟ)ไป 2,400 บาท แบบนี้ DHL หรือ Walmart ก็ต้องคิดคำนวณดีๆ แหละครับ ว่า เส้นทางไหนวิ่งไม่เกิน 480 km ต่อครั้งก็เอารถคันนี้ไปวิ่งแทน
รถบรรทุกดีเซลอเมริกาเค้าใช้จ่ายเชื้อเพลิงที่อัตราเท่าไหนกันเนอะ
รถบรรทุกที่ท่านเห็นอยู่ด้านบนนี้คือรถบรรทุกขนาดเดียวกันกับรถ Tesla Semi Truck แต่นี่คือ รถบรรทุกดีเซลที่มีเครื่องยนต์ยักษ์ขนาด 14.8 ลิตร มี 6 สูบ, 560 แรงม้า, แรงบิดที่ 1,850 lb-ft ซึ่งกินน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 5.6 ไมล์ต่อแกลลอน
ที่มา : popular mechanic
เอาล่ะเราได้โจทย์มาแล้วว่า รถบรรทุกในอเมริกาส่วนใหญ่กินน้ำมันอยู่ที่ 5.6 ไมล์ต่อแกลลอน(US) ดังนั้นผมจะทำการ convert(แปลงค่า) เดี๋ยวบัดนี้แหละ
ค่าน้ำมันรถพ่วงบรรทุก : 10 บาทต่อ km
ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า รถบรรทุกดีเซลนั้นกินน้ำมันที่ 2.3 km ต่อลิตร งั้นเอาราคาน้ำมันดีเซลในอเมริกามาเชคกันหน่อยไหม
เรียกได้ว่า 1 gallon US ราคา 3.043 เหรียญ(93.63 บาท) หรือ 1 ลิตรเท่ากับ 24.73 บาท
น้ำมันดีเซลในอเมริกาลิตรล่ะ 24.73 บาทครับ
2.3 km ใช้น้ำมัน 1 ลิตร
1 km ใช้น้ำมัน 0.43 ลิตร หรือเท่ากับ 24.73 x 0.43 = 10 บาทต่อ km
แค่ค่าเชื้อเพลิงของรถพ่วงดีเซลก็แพงกว่ารถพ่วง Tesla Semi Truck ไปเท่าตัวแล้วครับ
นี่ยังไม่รวมค่าซ่อม, ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง 14 ลิตรทุกๆ 5,000 ไมล์อีกนะครับ ไม่อยากจะคิดเลยว่า ระยะยาวแล้ว องค์กรต่างๆ คงต้องทำการลดค่าใช้จ่ายโดยการหนีไปใช้บริการรถพ่วง Tesla Semi Truck แหละครับ ส่วนเส้นทางที่วิ่งไกลๆ มากกว่า 500 km ขึ้นไปก็ยังต้องใช้รถพ่วงดีเซลกันอยู่ครับ
อัตราเร่ง 0-100 km/h แรงพอๆกับ Toyota Supra 2019
ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า อัตราเร่งของรถพ่วง Tesla Semi Truck นั้นมี 2 อัตราคือ
1.แบบ full load (บรรจุของเต็มพิกัด 36 ตัน) กับ empty load (รถพ่วงเปล่าๆ เฉยๆ) ซึ่งอัตราเร่ง 0-100 km/h ของรถพ่วง Tesla Semi Truck เฉพาะหัวพ่วงอย่างเดียวจะอยู่ที่ 5 วินาที ท่านฟังไม่ผิดหรอกครับ รถพ่วงวิ่ง 5 วินาที นี่เอาไปซัดกับ Honda civic turbo ได้สบายๆเลย ส่วน รถพ่วงดีเซลที่อเมริกานั้น แค่หัวพ่วงอย่างเดียวต้องใช้เวลามากถึง 15 วินาทีกว่าจะสามารถเร่งจาก 0 ไปถึง 100 km/h ได้ครับ ยังไงก็ตามสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็นนะครับ ผมเอาคลิปรถพ่วง Tesla Semi Truck มาแชร์ให้ดูด้านล่างนี้ด้วย เผื่อใครไม่เชื่อ ท่านก็แชร์ไปให้พวกเค้าเลยครับ
ในขณะที่ด้านรถยนต์น้ำมันนั้นก็ทำความเร็วได้ 5 วินาทีเหมือนกัน แต่ไปอยู่ในร่างของ รถยนต์ sport Toyota Supra 2019 แทน ถ้าจะเทียบ Top Speed กัน ซึ่งรถพ่วงเค้าจำกัดให้วิ่งไม่เกิน 65 mph หรือ 104 km/h อยู่แล้ว รถพ่วงคงสู้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าอัตราเร่งแล้วล่ะก็ อนาคตผมว่าได้เห็นรถพ่วงซัดกับรถ sport พวกนี้แถวๆ 4 แยกแน่นอน อย่างน้อยก็ดึงได้ 4-5 เสาไฟล่ะครับ ฮ่า ๆ
2. อัตราเร่งแบบ full load (แบกของ 36 ตัน)นั้นก็ไม่ได้น่าเกลียดมา ซึ่ง 0-100 km/h อยู่ที่ 20 วินาที ผมมีคลิปตอนเร่งมาให้ดูด้วย เรียกว่า เหยียบไม่เห็นฝุ่น ไม่เห็นใจรถพ่วงดีเซลกันเลยทีเดียว
Tesla Semi Truck มีให้เลือก 3 รุ่น
- รถพ่วง Tesla Semi Truck (รุ่น 300 ไมล์, [480 km]) ราคา 4.8 ล้านบาท ($150,000 )
- รถพ่วง Tesla Semi Truck (รุ่น 500 ไมล์ , [800 km]) ราคา 5.76 ล้านบาท($180,000)
- รถพ่วง Tesla Semi Truck รุ่น Founders Series ราคา 6.4 ล้านบาท($200,000) Range : N/A
หมายเหตุ : 2 รุ่นแรก นั้นวางเงินจองเพียง 6.4 แสนบาท($20,000) ส่วนรุ่น founders series นั้นต้องวางเงินจองเท่ากับราคาตัวรถ
ชาร์จเต็ม 80 % ภายใน 30 นาที
รถพ่วงไฟฟ้า Tesla Semi Truck นั้นใช้แบตแบบเดียวกันกับ Tesla model 3 ดังนั้นการทำ parallel charge ให้ได้ความไวเท่ากับ model 3 นั้นเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้วโดยบริษัทบอกว่า รถพ่วงไฟฟ้า Tesla Semi Truck คันนี้สามารถชาร์จไฟผ่านพอร์ท Mega Charger ให้เต็ม 80 % ได้ภายใน 30 นาที ซึ่งจะสามารถวิ่งได้ 640 km สบายๆ
BLINK DRIVE TAKE
ผมเอาตารางเปรียบเทียบอัตราการเร่งของรถพ่วงต่างๆ มาให้ดูด้วย จะเห็นว่า 0-100 km/h นั้น(full load) รถพ่วงดีเซลปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 1 นาที ส่วนรถพ่วง hydrogen ของ Nikola one นั้นใช้เวลา 30 วินาที และเปิดท้ายด้วยรถพ่วงไฟฟ้า Tesla Semi Truck ใช้เวลาเพียง 20 วินาที หลังจากที่พวกท่านได้เห็นวิดีโอด้านบนนี้แล้วก็คงเป็นข้อพิสูจน์แล้วล่ะว่า อนาคตอันใกล้นี้ ธุรกิจอีกตัวที่จะหดหายไปก็คงเป็นรถพ่วงดีเซลของอเมริกานั่นเองครับ เพราะรถพ่วง hydrogen เอย , รถพ่วงไฟฟ้าเอย จะเข้ามาแทนที่อย่างแน่นอน
ทำไมต้องรถพ่วงไฟฟ้า?
ผมขอตอบแทนคนอเมริกาเลยนะครับ เพราะรถพ่วงนี่แหละที่ถูกนำมาใช้งานหนักที่สุดแล้ว และกินน้ำมันหนักมาก คิดดูว่า ปีๆ นึงรถพ่วงคนนึงนั้นใช้วิ่งเป็น 100,000 km สบายๆ (ถนนอเมริกานั้นยาวมาก ทำให้การใช้งานรถพ่วงนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก) แล้วพวกท่านลองคิดตามว่าการใช้งานรถพ่วงที่ 100,000 km ต่อปีนั้นกินน้ำมันดีเซลไปมากกว่า 50,000 ลิตรนะครับ ดังนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ดีเลยที่เทสล่าจะเข้ามาลดการบริโภคน้ำมันและทำให้อากาศในประเทศอเมริกาสะอาดยิ่งขึ้น
ผมมองว่า การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นเป็นหน้าที่ของทุกคนครับ ไม่ใช่ของห้างร้านบริษัทใหญ่เลย อย่างหน้าที่ของผมคือเขียนข่าวรถยนต์ไฟฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อให้พวกคุณได้นำไปแชร์บอกลูกหลานเราว่า “พวกเราขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เด็กๆ อย่างพวกนายเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแย่ๆ แบบนี้” ดังนั้นเพื่อชดเชยในการกระทำของบรรพบุรุษเรา เราควรจะหันมาใส่ข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ตามต่างประเทศให้ทันครับ
ผมแปลกใจมากๆที่บทความเหล่านี้ในอเมริกานั้นผลิตออกมาทุกๆ 4-5 ชั่วโมง แต่ประเทศไทยนั้นใช้เวลามากกว่า 5 วันในการแปลบทความพวกนี้ให้ออกมาเป็นโพส หรือถ้าบางบทความไม่เป็นเทรนของโลกจริงๆ ก็ข้ามไปเลยไม่แปล ดังนั้น Blink Drive จะอาสาแปลบทความรถยนต์ไฟฟ้าก่อนใครเพื่อน(จุดประสงค์แล้ว จะทำให้เกิดการแข่งขันระยะยาวในการเข้าถึงบทความรถยนต์ไฟฟ้าได้เร็วขึ้น คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือผู้อ่านครับ) เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงแก่นกลางของเทคโนโลยียานยนต์ต่างประเทศได้รวดเร็วกว่าเพื่อนบ้าน และก็อาสาแปลบทความพาหนะไฟฟ้าต่างๆ ที่ยังไม่มีคนไทยเข้ามาแปลนะครับ
ส่วนใครเป็นเพจรถยนต์ไฟฟ้าแล้วได้เข้ามาอ่านก็เอาบทความผมไปใช้ได้เลย แล้วจะแปล on-top (ให้มากกว่า) ที่ผมแปลก็ได้ ผมยินดีแจกจ่ายให้ฟรีๆ เลย เพราะผมอยากเห็นลูกหลานของพวกเราเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่โตมาแล้วต้องเข้า โรงพยาบาลบ่อยๆ เพราะปอดอักเสบจากฝุ่น PM 2.5 บ้าง , ติดเชื้อในกระแสเลือดเพราะสูดอากาศไม่บริสุทธิ์สะสมเป็นเวลานานบ้าง จากนั้นรัฐบาลค่อยทำนโยบายรักษาฟรี หรือ รักษาเด็กเหล่านี้ราคาถูก นั่นมันเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุครับ
อเมริกาเค้ารู้ว่า การใช้รถยนต์น้ำมันมันทำร้ายคนรอบข้าง เค้าจึงหาวิธีแก้ไขให้เร็วที่สุด ก่อนที่ลูกหลานเค้าจะไม่มีอากาศบริสุทธิ์ให้ใช้หายใจกันครับ
ถ้าไม่ใช่เราแล้วใครครับ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้แล้วเมื่อไหร่ครับ
ฝากเอาไปเป็นการบ้านให้ทุกท่านได้คิดกันด้วยนะครับ
stay tune with blink drive :
https://www.facebook.com/blinkdrive555/