หลังจากที่ Lotus ได้ทำการเปิดตัวรถ SUV ไฟฟ้า Lotus Eletre อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565ที่ผ่านมาแล้วนั้น ตอนนี้ Lotus ได้แง้มรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถ SUV ไฟฟ้าคันนี้ซึ่งถือว่าเป็นรถครอบครัวที่มีอัตราเร่ง 0-100 km/h เทียบเท่ากับ Lamborghini Aventador ไปแล้วนะครับ
เดี๋ยว Blink Drive จะเปิดเผยรายละเอียดสเปคของรถ SUV ไฟฟ้าหรูคันนี้แบบเจาะลึกพร้อมกับการคาดการณ์ราคาที่จะเข้าไทยอีกด้วยนะครับ ผมบอกเลยว่า ใครวางแผนจะซื้อรถ SUV หรูขับภายในปีหน้านี้ล่ะก็อย่าเพิ่งซื้อถ้าไม่ได้อ่านโพสนี้ครับ เพราะคุณอาจจะเสียใจไปตลอดกาลถ้าไม่ได้ดูสเปคของเจ้าคันนี้(คือทำราคาออกมาได้ต่ำพอๆกับ Porsche Taycan แต่ Performance และความ Premium นั้นระดับ Supercar อย่าง Ferrari หรือ Lamborghini ไปแล้วครับ)
สารบัญ
- ประวัติบริษัท Lotus
- Lotus กับ Formula One
- Lotus กับ Toyota
- Lotus เป็นต้นแบบให้กับ Tesla
- Lotus ประกาศยุติการผลิตรถสันดาปในปี 2028
- รถ Eletre เป็นรถ EV คันแรกที่จะผลิตแบบ Mass Production เพื่อขายคนทั่วไป
- สเปค
- ความแรง
- ภายนอก
- ภายใน
- ราคาที่กำลังจะเข้าไทย
ต้นกำเนิดของ Lotus
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ Lotus สัญชาติอังกฤษถูกก่อตั้งในปี 1948 หรือ 74 ปีที่แล้วโดยวิศวกรจากมหาลัย University College, London นามว่า Colin Chapman (ผู้ก่อตั้ง)ต้องการสร้างรถแข่งขึ้นมาเพื่อไปแข่งขันในสมัยนั้น
Lotus ได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้มากมายในยุคปี 1958 – 1994 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Lotus ส่งรถมากมายหลายรุ่นเข้าไปแข่งในรายการ Formula One โดยรถรุ่นแรกที่ Lotus ส่งเข้าไปแข่งขันในปี 1957 นั่นก็คือ Lotus 12
Toyota Celica XX โดย Lotus
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาทางการเงินมาตั้งแต่ปี 1980 นั้น ทำให้บริษัท Lotus นั้นไม่ได้โลดแล่นเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ Lotus ต้องเริ่มหา partner มาประคองบริษัทซึ่งตอนนั้นก็ได้บริษัท Toyota มาช่วยสนับสนุนและร่วมทำ R&D(วิจัย)สร้างรถระดับตำนานขึ้นมาอย่าง Toyota Celica XX โดยพื้นฐานการพัฒนารถรุ่นนี้นั้นมาจากวิศวกรของโปรเจค Toyota Supra MK2 จริงๆ แล้ว Lotus ก็ยังเป็นเบื้องหลังการออกแบบตัวรถ DMC DeLorean อีกด้วยนะครับ
Tesla Roadster ใช้ตัวถังของ Lotus Elise
ในปี 2006 นั้น Lotus ได้เซ็นสัญญากับ Tesla เพื่อที่จะผลิต Tesla Roaster รุ่นแรกภายใต้ตัวถังของ Lotus Elise และการประกอบ ณ โรงงาน Hethel ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเรียกได้ว่า Tesla Roadster ตั้งแต่ปี 2008-2012 นั้นผลิตที่ประเทศอังกฤษครับ โดยประกอบโดยทีมงานวิศวกรของ Lotus และ Tesla ณ ที่แห่งนั้นครับ
ที่มารูปภาพ : Tesla Roadster #55
เอาจริงๆ แล้ว Lotus เป็นบริษัทที่น่าจับตามองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบริษัทนึงเลยครับ เพราะบริษัทนี้เป็นหนึ่งในผู้ช่วยสร้างความสำเร็จให้กับ Tesla เลยนะครับ ถ้าไม่มี Lotus มาช่วยสร้าง Tesla Roadster ในวันนั้น เราอาจจะยังไม่เห็นบริษัท Tesla ในวันนี้ก็ได้ครับ
ที่มา wikipedia
Lotus ถูก Geely ซื้อไปในปี 2017
ในปี 2017 นั้นการเงินของ Lotus ก็เข้าขั้นวิกฤตอีกครั้งนะครับ มาคราวนี้ Lotus ตัดสินใจขายบริษัทของตนเองและเข้าไปอยู่ภายใต้ร่มเงาของบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติจีนอย่าง Geely Holding Group Co., Ltd. หลังจากนั้นมาการบริหารภายในของ Lotus ก็ถูกเปลี่ยนไปตลอดกาลครับ และนั่นก็เป็นที่มาของรถยนต์ไฟฟ้า Lotus Eletre คันนี้ครับ
ก่อนที่จะมีรถ SUV ไฟฟ้า Lotus Eletre นั้น Lotus ก็ทำรถ Hypercar ไฟฟ้า 2,000 แรงม้าอย่าง Lotus Ejiva ขึ้นมาซึ่งอัตราเร่งของรถคันนี้นั้นแรงกว่า Bugatti Chiron ไปแล้วครับ
รถทุกคันของ Lotus จะต้องเป็นรถไฟฟ้าล้วนภายในปี 2028
ในเดือนเมษายน 2021 ที่ผ่านมานั้น บริษัท Lotus ได้ออกประกาศอย่างหนักแน่นว่าเค้าไม่เอาเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปอีกแล้ว ซึ่งเป็นการประกาศคว่ำสิ่งที่ตนเองทำมาทั้งชีวิตลงแบบไม่เสียดายเลยครับ ซึ่ง Lotus ประกาศ timeline (ช่วงเวลา)ในการเปลี่ยนถ่ายจากบริษัทรถยนต์น้ำมันเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดังนี้ครับ
- 2022 – เปิดตัวรถ E-segment SUV ภายใต้รหัส 132 ซึ่งนั่นก็คือ Lotus Eletre
- 2023 – เปิดตัวรถ E-segment รถครอบครัว 4 ประตู ภายใต้รหัส 133(ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อรุ่น)
- 2025 – เปิดตัวรถ D-segment SUV ภายใต้รหัส 134 (ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อรุ่น)
- 2026 – เปิดตัวรถ Supercar ไฟฟ้า ภายใต้รหัส 135 (ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อรุ่น)
ที่มา : electrek
สเปค : ความแรง
สเปค | รุ่นธรรมดา | รุ่น Performance |
มอเตอร์ | 592 แรงม้า (450 kW) | 905 แรงม้า (675 kW) |
อัตราเร่ง 0-100 km/h | 4.5 วินาที | 2.95 วินาที |
ความเร็วสูงสุด | 258 km/h | 265 km/h |
แบตเตอรี่ 800 Volt | 100 kWh | 120 kWh |
Range (ระยะทางที่วิ่งได้) | 600 km | 517 km |
แรงบิด | 710 Nm | 985 Nm |
DC Fast Charge 10-100 % | 18 นาที | 18 นาที |
DC Fast Charge ให้ได้ 100 km | 5 นาที | 5 นาที |
DC Charging Speed (Top) | 420 kW | 420 kW |
อัตราเร่ง 0-100 km/h แรงกว่า Lamborghini Urus
อัตราเร่ง 0-100 km/h ของ Lamborghini URUS (SUV หนึ่งเดียวของค่ายแลมโบ)นั้นอยู่ที่ 3.2 วินาทีครับ หรือว่าช้ากว่า Lotus Eletre ประมาณ 0.3 วินาทีหรือประมาณ 3 ช่วงเสาไฟครับ(ถ้าให้วัดกันตอนเร่งได้ 100 km/h นะครับ)
อัตราเร่ง 0-100 km/h ตัว Top Performance หรือรุ่นแรงสุดนั้นอยู่ที่ 2.95 วินาที อันนี้เป็นสิ่งที่ผมข้างไปไม่ได้เลยครับ นี่มันอัตราเร่งระดับ Supercar ไปแล้วครับ ยังไงผมเอาตารางรถที่มีอัตราเร่งเทียบเท่ารถครอบครัว SUV ไฟฟ้าคันนี้เอาไว้ด้านล่างนี้นะครับ
ภายนอกรถ
รถ SUV ไฟฟ้า Lotus Eletre คันนี้ถูกออกแบบมาโดยนักออกแบบระดับโลก ดังนั้นเรื่อง aerodynamic หรือหลักพลศาศตร์ของรถคันนี้ไม่เป็นสองรองใครครับ อย่างค่า drag coefficient หรือสัมประสิทธิ์แรงฉุดของอากาศโดยปกติคนขายรถหรือช่างเรียกง่ายๆว่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศจะอยู่ที่ 0.26 Cd ซึ่งทำได้ดีกว่า Audi e-tron ที่ทำเอาไว้ที่ 0.28 Cd อีกนะครับ
สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาผมเลยคือไฟหน้าของรถ Lotus Eletre เป็นไฟ LED ที่มีการออกแบบในรูปทรงบูมเมอร์แรง
ส่วนด้านหน้าของรถคันนี้นั้นเหมือน Lamborghini URUS อยู่หน่อยๆ แต่มีกลิ่นอายความเป็น Futuristic อยู่มากๆครับ ตัวรถนั้นมีขนาด ยาว 5103 mm กว้าง 2019 mm และสูง 1630 mm มาพร้อมกับฐานล้อ 3,019 mm ครับ
ส่วนยางรถคันนี้ถือว่าให้มาใหญ่มากๆ ขนาดยางนั้นคือ 285/35 R23 ขณะที่ Tesla Model Y นั้นให้มาที่ 255/45R19 เองครับ ส่วน Audi e-tron นั้นอยู่ที่ P255/50R20
ดังนั้น รถ Lotus คันนี้จะถูกจัดเป็น SUV ระดับเดียวกันกับ Lamborghini URUS ไปเลยนะครับ
เทคโนโลยีของรถ Lotus Eletre
Lotus เปิดตัวรถรอบนี้ต้องขอบอกเลยว่า มาแบบไม่ธรรมดาเลย เอาเทคโนโลยีระดับโลกมายัดใส่รถคันนี้เต็มไปหมดจริงๆ ครับ แต่อย่างที่เรารู้กันเนอะว่า นี่คือรถยนต์ไฟฟ้าดังนั้นแล้วความทันสมัยต้องนำหน้ารถยนต์น้ำมันแบบทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นเป็นธรรมดาครับ
รถ SUV ไฟฟ้า Lotus Eletre นั้นมาพร้อมเซนเซอร์(ตัวตรวจจับ)ต่างๆรอบคันทั้งหมด 34 จุดประกอบไปด้วยตัวตรวจจับวัตถุด้วยแสง (LIDAR) 4 ตัว, ตัวตรวจแบบคลื่นมิลลิมิเตอร์(millimeter-wave sensors) ทั้งหมด 6 ตัว, ตัวตรวจจับวัตถุด้วยอัลตร้าโซนิค(ultrasonic radars) 12 ตัว, และกล้องรอบคัน 12 ตัว
รถคันนี้คือกองทัพเซนเซอร์(ตัวตรวจจับ)เคลื่อนที่เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าสภาพอากาศจะมาเลวร้ายแบบไหน รถคันนี้มีระบบตรวจจับที่สามารถต่อกรได้หมดจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นระบบกล้อง, LIDAR, Radar, และ Ultrasoic แถมยังมาพร้อมระบบ self-cleaning คือเซนเซอร์บางตัวบนรถคันนี้สามารถชำระล้างความสกปรกได้เองระหว่างขับขี่ในกรณีเราเอารถไปลุยโคลนหรือฝนตกหนักนั้น ตัวรถก็จะทำ self-cleaning เองเพื่อให้ระบบ Self-driving(ขับขี่อัตโนมัติ)ทำงานได้ต่อโดยไม่สะดุดครับ
นี่มันรถ SUV บ้านๆ หรือรถถังสำหรับกองทัพครับเนี่ย เทคโนโลยีที่เอามาใช้นั้นทันสมัยกว่ารถถังบางคันซะอีก !!
การประมวลผลของรถคันนี้ก็มาพร้อมกับชิปของ Qualcomm 8155 จำนวน 2 ตัวซึ่งรวมกับเซนเซอร์ตรวจจับเข้าไปด้วยแล้ว จะทำให้รถคันนี้สามารถใช้ระบบ self-driving (ขับเคลื่อนอัตโนมัติ)กับถนนทุกรูปแบบเลยครับ
ชิป Qualcomm Snapdragon 8155 นั้นเป็นชิป 7 nm ระดับขุนพลในการทำ Full Self-Driving ของฝั่ง Qualcomm นะครับซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาให้ใช้กับรถที่สามารถประมวลผลทั้งระบบบันเทิงภายในรถและก็ระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติด้วยครับ
คลิปด้านบนนี้เป็นคลิปที่ได้ใช้ UI สาธิตการใช้งานชิป Qualcomm นะครับ ซึ่งชิปตัวนี้จะเป็นชิปตัวเดียวกันกับที่นำมาใช้กับรถ Lotus Eletre ครับ
ภายในของรถ Lotus Eletre
รถ SUV ไฟฟ้า Lotus Eletre คันนี้มาพร้อมกับจอสัมผัส infotainment ตรงกลางขนาด 15.1 นิ้ว หรือจะใหญ่กว่าจอ Tesla Model 3 ไปประมาณ 0.1 นิ้วครับ
ส่วนจอรองนั้นจะมีทั้งฝั่งคนขับและฝั่งคนนั่งนะครับ ซึ่งจะเป็นจอแนวนอนความยาวประมาณ 12 นิ้วทั้งสองฝั่งครับ
อีกสิ่งนึงที่ให้มาเหมือน Honda e หรือ Audi E-tron GT ก็คือกล้องมองข้างๆรถครับ จะไม่มีกระจกมองข้างมาให้แล้วแต่จะเป็นกล้องแล้วก็มีหน้าจอแบบในรูปด้านล่างเพื่อโชว์วัตถุแถวนั้นครับ
ส่วนภายในห้องโดยสารนั้นจะตกแต่งด้วยวัสดุราคาแพงอย่างอัลคันทาร่า (Alcantara)
BLINK DRIVE TAKE
รถ SUV ไฟฟ้า Lotus Eletre คันนี้จะถูกผลิตที่เมืองอู่ฮั่นประเทศจีนภายในปีหน้านี้นะครับเพื่อให้ทันส่งมอบภายในปีหน้านี้(2023) ซึ่งตอนนี้เปิดให้ชาวจีนและคนต่างประเทศจองกันแล้วในราคาใบจองล่ะ 5,000 หยวนหรือ $750 หรือ 27,171 บาท ผมเชื่อว่า สาเหตุหลักที่ Lotus สามารถทำกำไรจากรถคันนี้ทั้งๆ ที่ขายราคาไม่แพงมากหนักก็เพราะเรื่องการผลิตที่เมืองจีนครับ ทำให้ควบคุมราคาต้นทุนได้ดีกว่าผลิตที่อังกฤษครับ
ราคาเข้าไทยประมาณเท่าไหร่?
อย่างที่เราทราบกันดีว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นก็โดนเก็บภาษีรุนแรงเท่ากับรถยนต์น้ำมัน supercar ไปแล้วครับ ทำให้เราทราบกันดีเกี่ยวกับคำศัพท์ว่าภาษี 200% ดังนั้นวันนี้ผมคงไม่ได้มาพูดปลุกใจเพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้กันเพราะเรารู้อยู่แล้วเนอะว่าถ้าปล่อยรถคันนี้เข้ามาที่ราคาป้าย 4.4 ล้านบาทหรือ $120,000 นั้นทำลายตลาดรถยนต์หรูในไทยพังอย่างแน่นอน
(ขออนุญาติวิเคราะห์) ถ้ามาคิดกันแบบเหตุผลภาษี 200% แล้วนั้น รถคันนี้จะจัดอันดับให้มีราคาอยู่แถวๆ Porsche Taycan GTS ซึ่งราคาอยู่ที่แถวๆ 8.9 ล้านบาท(ตัวธรรมดา) และ 10 ล้านบาท(ตัว Performance) ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมไม่กังวลเรื่องขายไม่ดีครับ แต่ผมมองว่าผู้นำเข้าจะปวดหัวเรื่องส่งมอบรถไม่ทันความต้องการเพราะถ้าตัวเริ่มต้นมาราคา 8.9 ล้านบาทจริงๆ แล้วได้สเปคอย่างที่ผมกล่าวไปด้านบนนั้น Porsche Cayanne อาจจะมีเหนื่อยกับสิ่งนี้แหละครับ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัวไปแล้วสำหรับตลาดรถหรูในบ้านเรา เราจะเห็นได้ว่า ช่วงหลังนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยจะไปกระจุกตัวอยู่แถวรถหรูเยอะมากๆครับ เนื่องจากผู้เล่นรถในบ้านเราเริ่มมองเห็นสมรรถนะของรถหรูไฟฟ้าดีกว่ารถหรูสันดาปแล้วนะครับ
ถ้า Lotus eletre เข้ามาในบ้านเราจริงๆ ผมมองว่า ยอดขายรถ SUV หรูที่เป็นน้ำมันคงจะได้รับผลกระทบแบบแรงๆ นะครับ จริงๆ ทุกวันนี้ Tesla Model Y ก็ทำตลาดรถหรูในไทยปั่นป่วนพอสมควรแล้วครับ ได้ข่าวมาว่าของขาดกันทุกเจ้าครับ
อย่างไรก็ตาม ผมก็ภาวนาให้ไทยติดต่อ Supplier หรือผู้ผลิตรถยนต์หรูไฟฟ้ามาไทยบ้างซัก 2-3 เจ้าภายใน 1-2 ปีนี้นะครับ ไม่งั้นจีนคาบไปกินทั้งกระดานแน่นอนครับ