Blink Blink
TeslaUSA

เจ้าของรถ(คนไทย) Hybrid หันไปลองใช้ Tesla, เปลี่ยนรถทั้งบ้าน 5 คันเป็น Tesla หมดเลย

สวัสดีชาว Blink Drive และชาวไทยทุกท่านครับ วันนี้ผมมีรีวิวผู้ใช้รถยนต์น้ำมัน Hybrid ยี่ห้อ Toyota รุ่น Prius ซึ่งเป็น Hybrid ที่ขายดีที่สุดในอเมริกา ณ ปี 2012 และยังเป็นสุดยอดตำนานของ Hybrid ทุกรุ่นอีกด้วยนะครับ แต่ปรากฏว่า ผู้ใช้งาน Toyota Prius ท่านนี้(นามว่า คุณท็อป)ซึ่งเป็นชาวไทยที่อาศัยอยู่เมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซน่า ประเทศอเมริกานั้นได้หันมาลองใช้งาน Tesla Model 3 แล้วปรากฏว่า ติดใจครับ เรียกได้ว่าไม่หันกลับไปมองรถ ICE Car ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันล้วนหรือ Hybrid อีกเลย แถมปรากฏว่า ป้ายยาคนทั้งบ้านของเค้าใหม่เปลี่ยนมาใช้ Tesla ทั้งบ้าน ซึ่งปรากฏว่าปัจจุบันบ้านเค้ามี Tesla จอดอยู่ทั้งหมด 5 คันไปแล้วครับ!! เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องราวของคุณท๊อปแบบละเอียดให้อ่านตรงนี้เพื่อให้ทุกท่านศึกษาไปเป็นแนวทางในการวางแผนซื้อรถยนต์ใน 2-3 ปีต่อจากนี้นะครับ

ทำไมถึงเปลี่ยนจาก Toyota Prius ไปเป็น Tesla Model 3?

คุณท๊อปตอบว่า “ตอนแรก ผมใช้ Prius พอผ่อนหมด ในตอนกลางปี 2019 ก็เลยอยากได้คันใหม่ ตอนนั้นผมก็ก็ยังสนใจและติดตามเรื่องราวของ Tesla มาโดยตลอด เพียงรู้สึกว่าราคายังเกินเอื้อมไปหน่อย เลยไม่ได้สนใจมาก จนมาเจอ Turo เลยคิดว่า ถ้าสามารถซื้อได้ แล้วเอามาปล่อยเช่าบ้าง ก็จะได้เงิน มาช่วยผ่อน แถมได้ดูรีวิวของคนที่อเมริกา ก็ยิ่งทำให้สนใจมากขึ้น”

ผมขอเสริมเรื่อง Turo นิดนึงนะครับ Turo เป็น platform เหมือน Airbnb สำหรับรถยนต์ครับ ใครมีรถยนต์ก็สามารถนำมาปล่อยเช่าผ่าน Turo (ในอเมริกา)ได้ครับ ซึ่งรายได้ต่อวันนั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวอย่าง Tesla Model 3 นั้นมีราคาท้องตลาดอยู่ที่วันล่ะ $100 หรือ 3,300 บาทครับ

อ้างอิงภาพจาก : Turo

อีกเหตุผลที่คุณท๊อปเลือกซื้อ คือ ปี 2019 เป็นปีสุดท้ายที่ รัฐบาลจะลดภาษีให้ ตอนแรก $7500( 247,500 บาท) สำหรับรถไฟฟ้า แต่เนื่องจาก tesla คนซื้อเยอะขนหมด โควต้า ปี 2019 เป็นปีสุดท้ายที่ได้ $2250(74,250 บาท) ยิ่งถ้าไปซื้อรถ ปี 2020 คือ จะไม่ได้เลย ยิ่งตัดสินใจซื้อด่วนเลยตอนนั้น ไม่ได้คิดมาก กดซื้อก่อน ลองขับทีหลัง เชื่อใจ Tesla ว่าต้องดีมาก แล้วก็ไม่ผิดหวัง

อ้างอิงจากประสบการณ์ตรงของคุณท๊อปนั้น, เค้าเบื่อกับการต่อรองราคาในการซื้อรถ กับ dealership (ศูนย์จัดจำหน่าย)ที่นี้มาก ๆ ไปซื้อทีไร เหมือนรู้สึกจะโดนเอาเปรียบตลอดเวลา พอมาเจอวิธีซื้อ Direct Sale (ขายตรงสู่ลูกค้าโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง) แบบ Tesla คือสั่งกดบน website ไม่ต้องต่อราคาใด ๆ เลย ราคานี้คือจบ เหมือนซื้อของออนไลน์แบบ amazon เลยชอบใจมาก ๆ ครับ

สั่งรถแล้วคิดว่าจะได้ภายใน 3 วัน แต่กลับกลายเป็น 2 เดือน

คุณท๊อปแจ้งต่อว่า “ก็เลยไปดู YouTube เห็นเขาสั่งกันผ่าน web ง่ายมาก ๆ 2-3 วัน รถมาส่งถึงบ้านเลย ก็เลย ยอมกดซื้อไป แต่คราวนี้ ไปสั่งไป ก็เงียบไปเลย พวกผมก็ งง กัน เลยคิดว่าไม่ได้แล้ว แต่ในระหว่างที่รอ ก็เลยไป ขอ test drive แบบ walk in ตอนแรก พนักงานไม่ให้ แต่พอดี เขาเชคแล้วเห็นชื่อ เราในระบบว่า จองรถไปแล้ว ก็เลยให้มา เขายังขำเลยครับ ว่า จองรถไปก่อนลองขับเนี่ยนะ เลยได้ รถมา 1 ชั่วโมง ในรูป คือ คันขาวเบาะขาว นั้นล่ะครับ แล้วติดใจมาก ๆ เลยไม่อยากได้ ยี่ห้ออีกเลย เลยรอ”

รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ทั้งสองคันนี้เป็นของคุณท๊อปครับ

คุณท๊อปบอกผมว่า ตอนแรกที่สั่งรถ Tesla Model 3 คันนี้ไปนั้นคิดว่ารถจะได้ภายใน 2-3 วันเหมือนใน Youtube ที่มารีวิวกัน แต่ปรากฏว่า เค้าต้องนั่งรอรถถึง 2 เดือนครับ สั่งไปตอนเดือนตุลาคม 2019 แต่กว่าจะได้รถเดือนธันวาคม 2019 ในความเห็นของผมนั้น ถือว่าได้รับรถเร็วมากๆ เพราะถ้าเทียบ speed การสั่งรถตอนนี้แล้ว สั่งวันนี้รับรถปีหน้าไปเลยครับ เนื่องจากคนอเมริกาเริ่มไว้วางใจในแบรนด์เทสล่ากันมากขึ้นทำให้ demand(ความต้องการ)รถยนต์ไฟฟ้า Tesla สูงขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมาครับ

เกือบทิ้งใบจองแล้วไปเอารถยี่ห้ออื่นแล้ว!?

คุณท๊อปบอกต่ออีกว่า “ตอนแรก เกือบไปซื้อรถอื่นแล้ว เพราะ คิดว่าไม่ได้ แบบ กู้ไม่ผ่าน อะไร แบบนี้ ครับ” คุณท๊อปยังไม่รู้ว่ามัน check สถานะทุกอย่างผ่าน App ได้ทำให้เริ่มมองหารถคันอื่นแทนแล้วครับ แต่สิ่งที่ทำให้คุณท๊อปเปลี่ยนใจหันกลับมาหา Tesla แบบกู่ไม่กลับเพราะไปลอง test drive (ทดลองขับ)รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่ศูนย์ฯ Tesla ครับ พอไปลองปุ๊บก็ไม่อยากกลับไปขับรถยนต์น้ำมันอีกเลยครับ

ถ้าได้ลองขับจะไม่อยากกลับไปขับรถน้ำมันอีกเลย

ที่เขาบอกกันว่า tesla ไม่ต้องโฆษณา ไม่มีแผนก PR เพราะ ลูกค้าจะเป็นกัน เอง คือถ้าใน ตอนปี 2019-2020 คือผมว่าเป็นจริง ๆ , สิ่งที่ผมทำก็คือ เอาข้อมูลต่างๆ (อัตราเร่ง, ความประหยัด)ไปเผยแพร่แบบนี้ จนได้ referred มา 4-5 คนแล้วครับ

คุณท๊อป

ถ้าให้เทียบกับ Prius ที่เคยขับ กับรถ Tesla Model 3 คันนี้, มันมีอะไรดีกว่าบ้าง?

  1. อัตราเร่ง : อย่างที่รู้กันคือรถยนต์น้ำมัน Hybrid มันประหยัดน้ำมันกว่ารถยนต์น้ำมันก็จริงอยู่ แต่อัตราเร่งนั้นสู้ eco car ยังไม่ได้เลยครับ อัตราเร่ง 0- 100 km/h ของ Toyota Prius นั้นอยู่ที่ 10.6 วินาที ส่วนอัตราเร่ง 0- 100 km/h Tesla Model 3 SR+ คันนี้นั้นอยู่ที่ 5.4 วินาทีครับ หรือแรงเทียบเท่า Porsche Panamera (5.4 วินาที) ดังนั้นเวลาขับ Tesla Model 3 SR+ บางท้องถนนนั้น คุณท๊อปจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจกว่า Toyota Prius เพราะมองว่ายังไงก็แซงรถคันข้างๆ ได้อย่างปลอดภัยครับ

2. ความประหยัด : จริงๆ แล้ว Toyota Prius ก็ประหยัดน้ำมันแบบที่สุดของรุ่นอยู่แล้วนะครับ แต่พอเปลี่ยนมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้านั้นคุณท๊อปบอกว่า มันประหยัดกว่าเดิมจนแบบว่าเอาเงินส่วนต่างมาผ่อนรถได้ครึ่งเดือนเลยครับ แถมอีกเรื่องคือเรื่องแอร์ เนื่องจากคุณท๊อปอยู่รัฐอริโซน่าหรือรัฐที่เรียกตัวเองว่าเป็นนรกของอเมริกาก็ว่าได้ครับ รัฐนั้นร้อนระอุเกือบทั้งปี หน้าร้อนนั้นความร้อนพุ่งสูงทะลุ 50 องศาเซลเซียสสบายๆ ครับ คุณท๊อปบอกว่า ปีนึงรัฐนี้จะมีอุณหภูมิทะลุ 37 องศาเซลเซียสอยู่ประมาณ 4 เดือนครับ ถ้าใครบอกว่าไทยร้อนกว่าอเมริกา แนะนำให้มา road trip รัฐนี้ดูซัก 5 วันนะครับ แล้วคุณจะเปลี่ยนความคิดทันทึครับ

จากที่เคยเติมน้ำมันรถ Hybrid เดือนล่ะ $120 หรือ 4,000 บาท กลายเป็นว่าหันมาจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเดือนล่ะ $30 หรือ 1,000 บาท(ประหยัดกว่ากัน 4 เท่าตัว)

คุณท๊อป

จริงๆ ผมเคยเขียนรีวิวรถยนต์ Tesla Model 3 ที่วิ่งทะลุ 160,000 km ที่รัฐอริโซน่าไปแล้วนะครับ เจ้าของรถต้องเปลี่ยนแอร์กันเลยทีเดียวเพราะรัฐนี้ร้อนมากๆครับ

ตอนนั้น จะเอาเรื่องประหยัด ไม่ใช่ จุดขายใหญ่ น่าจะเป็น เรื่องรักโลก พลังงานสะอาด กับ ทันสมัย ล้ำหน้าไปมากกว่า ครับ

คุณท๊อป

3. Infotainment/UI : ความไฮเทคของหน้าจอขนาด 15 นิ้วของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 นี่ทำเอารถยนต์น้ำมัน Toyota Prius กลายเป็นโนเกียไปเลยครับ เค้าบอกว่า จอใหญ่ๆ ตอนแรกคิดว่าจะทำอะไรไม่ถนัดบดบังวิสัยทัศน์ แต่กลายเป็นว่า พอได้ใช้งานนี่คือเปลี่ยนโลกทันทีครับ

ปล. ผมทิ้งวิดีโอรีวิว Tesla UI ของรถผมเอาไว้ตรงนี้เผื่อใครอยากศึกษาว่า ทำไมคนที่ใช้ Tesla ถึงชอบ Tesla UI กันแบบไม่อยากกลับไปใช้รถยนต์น้ำมันกันอีกแล้วนะครับ

4. Autopilot : ระบบนี้จะเป็นเพียงระบบช่วยเหลือการขับขี่นะครับ ไม่ได้ขับให้เหมือน Tesla FSD Beta ครับ(เดี๋ยวจะมีพูดถึงด้านล่างนี้)

เรื่อง lane auto correction / adaptive cruise control ของ Tesla นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เวลาขับรถ รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นมาก ๆ เทียบกับที่เคยใช้ Prius ซึ่งไม่มีระบบนี้มาให้

ระบบ Tesla Autopilot ในความเห็นส่วนตัวของคุณท๊อปนั้นได้ใช้งานได้จริงมากสุดในทุกสถานการณ์ ไม่ว่า จะขับไกล ด้วยความเร็วคงที่ หรือ สถานการณ์รถติดในเมือง stop and go ซึ่งเหมาะมากๆ สำหรับการปล่อยรถไหลบนถนนในเมืองช่วงรถติดครับ รถจะทำหน้าที่ขับตามคันข้างไปเรื่อยๆ ซึ่งมีบางครั้งที่เราต้องประคองพวงมาลัยกับช่วยตัดสินใจบ้างแต่ 90% ของการขับขี่ด้วย Tesla Autopilot ตอนรถติดนั้นทำให้ลดความเหนื่อยล้าจากการขับขี่ไปได้เยอะเลยครับ

ใช้รถ Tesla Model 3 ไปกี่ km แล้ว?

“ตอนนี้ ขับไปแค่ 18,500 miles หรือ ราว ๆ 30,000 km” คุณท๊อปกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “พอดีได้รถตอนปลายปี2019 ก่อน covid พอดี แล้ว covid มาก็ไม่ได้ไปไหนไกลมากครับ”

คุณท๊อปบอกว่า ตอนแรกตั้งใจซื้อรถมาทำ Turo แต่พอได้รถมาจริงๆ ทำใจไม่ลงที่จะเอารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ของตนเองไปปล่อยเช่าเพราะรักรถคันนี้มากๆ เค้าก็เลยเอามาขับเองอย่างเดียวนะครับ

ส่วนการชาร์จไฟนั้นเค้าแทบไม่ต้องเดินสายไฟใหม่อะไรเลย เนื่องจากที่ทำงานอยู่ใกล้บ้านมากๆ ทำให้ใช้ที่ชาร์จที่ติดมากับรถเสียบเข้าไฟบ้าน 120 Volts(slow charging) ที่ได้ไฟชั่วโมงล่ะ 1-2 ไมล์ก็เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้วครับ

ได้ข่าวว่ามี Tesla อยู่ 5 คันเลยหรอครับ?

ใช่ครับ ผมขอแจกแจงรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทั้งหมด 5 คันที่ครอบครัวผมหันมาใช้ดังนี้ครับ

  • 2020 Tesla Model 3 SR+(สีเทา) : คุณท๊อป
  • 2021 Tesla Model 3 LR(สีขาว) : แฟนน้องสาว
  • 2021 Tesla Model X : น้องสาว(เอาไว้รับส่งลูก)
  • 2022 Tesla Model Y LR (สีขาว) : แฟนคุณท๊อป
  • 2022 Tesla Model Y LR (สีแดง) : พ่อและแม่แฟนน้องสาว

เรียกว่า บ้านของคุณท๊อปน่าจะเป็นบ้านคนไทยหลังแรกในอเมริกาที่มี Tesla เยอะขนาดนี้นะครับ ว่างๆ Blink Drive ต้องไปเยือนหน่อยแล้วครับ

ปล่อยเช่า Turo ได้เงินเยอะไหม?

Tesla Model X ของน้องสาวคุณท๊อปนั้นปล่อยเช่าวันละ $200-$300 ครับ พอน้องสาวได้ Tesla Model X มานี้ ปล่อยเช่ากระจาย จนแทบไม่จ่ายค่าผ่อนรถเลยครับ

คุณท๊อปบอกว่า มีเคสเช่ารถแปลกๆ มาแชร์ให้ฟังกันด้วยคือ มีฝรั่งมาขอเช่าทดลองขับ Tesla Model X คันนี้อยู่ประมาณ 2-3 วัน แต่พอลองขับแล้วติดใจมากๆ ก็เลยไปสั่งซื้อทันที ตอนแรกฝรั่งเค้าคิดว่า สั่งซื้อปุ๊บได้รับปั๊บ เค้าเลยจะได้ไม่ต้องรอนาน แต่ปรากฏว่า เค้าสั่งซื้อ Tesla Model X Plaid ไปทำให้ต้องรอถึง กุมภาพันธ์ 2022 ก็เลยมาขอเช่าเหมาจ่ายรายปีกับน้องสาวคุณท๊อปขับเป็นระยะเวลา 1 ปี(ลองคูณกันไปดูว่าวันล่ะ $200 กว่าๆเป็นระยะเวลา 365 วันจะเท่าไหร่นะครับ แต่จริงๆ ถ้าเช่าระยะเวลานานจะมีส่วนลดให้อีก 10-20 % นะครับ) โดยคุณท๊อปบอกว่า ไม่รู้ว่าทำไมฝรั่งคนนี้ถึงใช้เงินแบบนี้ แต่ถ้าคนรวย(ที่อเมริกา)ใช้เงินจริงๆ เค้าเลือกความเร็วและความสะดวกมากกว่าความคุ้มค่าแหละครับ แบบว่า จ่ายแพงช่างมันขอให้ตัวเองได้ขับก่อนก็พอ

ได้เป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ FSD Beta Tester

ผมต้องขออธิบายก่อนว่า คนที่ได้สิทธิ์ใช้งาน FSD Beta Tester นั้นถือว่าเป็นสิทธิ์สูงสุดของผู้ใช้งาน Tesla เลยนะครับเพราะ Tesla เปิดให้ใช้งาน FSD Beta Tester ในช่วงแรกเพียงแค่ 100,000 คน(ผู้ใช้งาน Tesla ที่มีพฤติกรรมขับขี่ดีเด่น 100,000 คนแรกได้ใช้งานครับ)ทั่วอเมริกาเท่านั้น ซึ่งตอนเดือนกันยายน 2021 ที่เปิดให้ใช้งานระบบนี้นั้น ในอเมริกามีรถยนต์ไฟฟ้า Tesla มากถึง 1 ล้านคันนะครับ นั่นก็แปลว่า คนที่ได้ขับจริงๆมีเพียง 1 ใน 10 ของผู้ใช้งาน Tesla เท่านั้น

ของคุณท๊อปนั้นซื้อ FSD Software (ประมาณ $10,000 หรือ 330,000 บาท) มาพร้อมกับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ของตนเองเลยในเดือนธันวาคม ปี 2020

วิธีดูว่ารถของตนเองเป็น beta tester ไหมนั้นดูจากหน้าจอรถครับ ถ้าเป็น วัตถุ หรือ เส้นถนน จะจุด ๆสีแดง หรือ สีต่าง ๆ จากคลิปด้านล่างนี้ ถ้าเป็น fsd beta จะเริ่มจากลานจอดรถเลย ไม่ต้องมี เส้นบนถนน ให้ นำทางก่อน

ขั้นตอนการเป็น Beta Tester ในตอนนั้น คือ ฝรั่งบอกว่า ต้องขับแบบผู้สูงอายุ กันเลยทีเดียว ออกตัวแรงไม่ได้ เบรกแรง ก็ไม่ได้ เลี้ยวหนัก ก็ไม่ได้ ให้ auto pilot เบรกแล้ว คอมเบรกแรง คะแนนยังตก

ผมว่า ถ้า Tesla Thailand ทำแบบนี้ เหมือนกันกันที่ไทย ไม่รู้จะชอบกันไหม เพราะจะไม่ได้ต่อรองอะไรเลย แต่สำหรับผมคือ ชอบมาก

คุณท๊อป

BLINK DRIVE TAKE

ว่างๆ เดี๋ยวผมจะชวนคุณท๊อปมา live พูดคุยกันหลายเรื่องนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่เปลี่ยนมาใช้ Tesla แบบหมดตัวหมดใจ หรือการใช้งาน Tesla FSD Beta

จริงๆ แล้วการจะได้ Tesla FSD Beta มาใช้งานนั้นถือว่าหินมากๆ ครับ หินกว่าการสอบใบขับขี่ในอเมริกาหลายเท่าครับ สาเหตุหลักที่ต้องเชิญแกมาพูดคุยเพราะมีหลายคนเข้าใจผิดระหว่าง Autopilot และ FSD Beta นะครับ

ยกตัวอย่างที่เจอมากับตัวเองก็มีคน comment เข้ามาว่า FSD มีใช้กันตั้งแต่ 2019 แล้ว แต่พอทางเราไปตรวจสอบข้อมูลปรากฏว่าเป็นวิดีโอที่ใช้งาน Autopilot ซึ่งจริงๆ ผมมองว่า จำเป็นต้องมีสื่อฯ ออกมาแสดงความกระจ่างในเรื่องนี้เพื่อไม่ให้คนไทยสับสนเรื่องเทคโนโลยีระหว่าง Autopilot กับ Tesla FSD Beta นะครับ

ส่วนเรื่องเปลี่ยนถ่ายจากรถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้าถึง 5 คันถือว่าคุณท๊อปเป็นคนไทยผู้ใช้งาน Tesla ที่มี Tesla เยอะที่สุดในตอนนี้ไปแล้วนะครับ เดี๋ยวเราจะเชิญเค้ามาพูดคุยใน Blink Drive เร็วๆ นี้นะครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email