Blink Blink
TeslaUSA

Tesla เตรียมเปิดตัว App Store (แบบ iPhone หรือ Android) เพื่อใช้งานในรถ

มีข่าวลือจากคุณ Sawyer Merritt (นักข่าววงในค่ายรถ Tesla) ได้ออกมาประกาศว่า Tesla กำลังแอบซุ่มพัฒนา App Store ของตนเองเหมือนที่ Apple เคยเปิดตัวเมื่อ 14 ปีที่แล้วนะครับ

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น Tesla ได้ทำการเปลี่ยนแปลง UI (User Interface) ครั้งยิ่งใหญ่ในรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 / Model Y ทุกคันโดยการส่ง Update OTA(Over the Air)ให้รถยนต์ทุกคันได้ทำการ update ซึ่งการ update ครั้งนั้นก็สร้างความฮือฮาเรื่องการใช้งานไปได้เยอะพอสมควรเพราะการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 หรือ Model Y พร้อม UI V.11(รุ่นของ UI) นั้นสามารถเปลี่ยนรถของเราเป็น ipad ติดล้อได้เลยครับ

ถ้าดู icon ด้านบนนั้นจะเห็นได้ว่า เมนูการใช้งานจะไม่ต่างอะไรจาก iphone, ipad หรือ Android ไปแล้วครับ โดยผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 / Model Y สามารถปรับแต่ง Dock (ตัวบาร์ด้านล่างของจอ)ได้อิสระเหมือนที่เราปรับแต่ง dock ของ iphone เลยครับ ทำให้ผู้ใช้งาน Tesla สามารถเลือกเอา favorite app(แอ๊ปที่ใช้งานบ่อยที่สุดทั้งหมด 4 app มาเอาไว้ตรงด้านล่างครับ

OTA ทำให้รถฉลาดขึ้นทุกวัน?

ใช่ครับ แต่ก่อนนั้นเวลาเราซื้อรถยนต์มาใช้ พอเวลาผ่านไป 1-2 ปีเราก็จะรู้สึกว่ารถรุ่นใหม่มีฟังชั่นมากกว่ารถที่เราซื้อ แต่อีลอนมองว่า อยากให้คนซื้อเทสล่าไปใช้งานได้นานๆ และไม่เบื่อกับรถที่ซื้อมา เค้าเลยพยายามออกแบบรถให้เป็นเหมือนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่มีล้อเท่านั้นเองครับ จึงเป็นที่สังเกตุได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ปี 2018 (ซื้อมา 4 ปีแล้ว)ยังไม่ดูเก่าเลยเพราะเวลา Tesla ปล่อย UI (User Interface) รุ่นใหม่ๆ มา พวกคนที่ซื้อไปก่อนก็สามารถ update ได้เหมือนรถปี 2022 ไปเลยครับ

May be an image of car and text that says 'Install 2021.44.30 Now? This update will take approximately 25 min. During the update process you will not be able to drive the vehicle or use the touchscreen, and your car alarm may be disarmed for a short duration (if enabe No Yes Controls Climate'

อีลอนเค้าเคยบอกว่า Tesla เป็นบริษัท Software ครับไม่ใช่บริษัทผลิตรถยนต์อย่างเดียว ดังนั้น การพัฒนาด้าน hardware(อัตราเร่ง, ความแรงของรถ)มันต้องขนานไปกับการพัฒนาด้าน software(application , รถฉลาดขึ้น)ครับ

App ใน Tesla UI V.11 มีอะไรบ้าง?

ผมขอเรียง App ตัวใหม่ๆ ใน Tesla UI V.11 กันให้ดูเลยนะครับ

1. Megaphone (โทรโข่งรถ)

App ตัวนี้จะเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ของเราให้เป็นโทรโข่งขนาดยักษ์ครับ

หมายเหตุ : ฟังชั่นนี้สามารถใช้งานได้กับรถที่อยู่ในประเทศที่อนุญาติให้ใช้ Boombox เช่น อเมริกา, แคนาดา, หรืออังกฤษ เป็นต้นครับ

2. Lightshow

อันนี้จะเป็นฟังชั่นทำให้รถยนต์เต้นได้นะครับ ลองดูในคลิปได้ครับ มันส์ดี

3. เกมส์ Emulator แรก : Sonic

ทางทีมพัฒนา software Tesla ได้ออกมายืนยันแล้วว่า เค้าได้ทำการติดตั้ง emulator software ลงไปใน Tesla UI V.11 แล้วก็ได้ทำการรันเกมส์ Sonic the Hedgehog ที่อยู่ในเครื่องเล่นเกมส์สุดฮิตอย่าง Sega Genesis (ปี 2535) มาลงใน Tesla นะครับ

ซึ่งทีมพัฒนาเกมส์นั้นได้บอกว่า ทุกครั้งที่เราจะสร้างเกมส์มาให้ชาว Tesla เล่นนั้น เราจำเป็นต้องเขียน code เป็นหมื่นๆ บรรทัดและทำการ test run รวมๆ กันก็หลายเดือน (บางครั้งก็ครึ่งปี) เพื่อให้เกมส์ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด แต่มาครั้งนี้ หลังจากที่เราใช้ emulator software(การเปลี่ยนให้เกมส์ที่เล่นใน platform อื่นสามารถมาเล่นใน hardware ของตนเอง) นั้นเราใช้เวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ก็สามารถทำให้รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3/ Model Y เหล่านี้เล่นเกมส์ Sonic the Hedgehog ได้แล้วนะ

หมายเหตุ : ฟังชั่นเกมส์นั้นใช้งานได้บางประเทศ เช่น อังกฤษ , อเมริกา, หรือบางประเทศในยุโรป

สำหรับใครที่สนใจการใช้งาน Tesla UI V.11 แบบละเอียดดุจดั่งเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในจักรวาลก็สามารถไปติดตามชมได้ที่คลิปด้านล่างนี้นะครับ

ทำไมต้องสร้าง App Store?

อย่างที่รู้ๆ กันนะครับว่า Tesla เริ่มต้นที่ software ไม่ใช่ hardware แบบ legacy auto(ค่ายรถยนต์ที่อยู่ค้ำฟ้า) ดังนั้นแนวคิดเรื่องการหาเงินเข้าบริษัทจึงแตกต่างจาก GM และ Ford ครับ

ลองคิดตามผมนะครับ การหาเงินเข้าบริษัทของค่ายรถยนต์น้ำมันคือ “การขายอะไหล่” เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, การเปลี่ยนสายพาน, ลูกสูบ, แกนชัก, หม้อน้ำ, และอะไหล่อื่นๆ อีกมากกกว่า 3,000 ชิ้น

คิดดูกันนะครับว่าค่ายรถยนต์น้ำมันอาศัยอยู่กับการทำกำไรแบบนี้มาเป็นร้อยๆ ปีแล้วครับ ซึ่งมันเป็น “Requirement”(ความจำเป็น)ที่ผู้ใช้งานรถต้องยอมเปลี่ยน ไม่ใช่ “Desire”(ความปรารถนา)ที่ต้องการมี แต่ถ้าเรื่องแต่งรถนั้นคือ Desire ครับไม่ใช่ requirement

ดังนั้นอีลอนมองว่า เราจะกำจัด “requirement” (ความจำเป็น) ซึ่งเป็นรายจ่ายส่วนเกินที่ผู้ใช้งานรถเสียเงินโดยใช่เหตุมาเป็นระยะเวลานานนนนนนนนนมากกกกกแล้วนั้นออกไปครับ ซึ่งอีลอนเคยประกาศจุดยืนว่า อะไหล่ต่างๆ ที่เทสล่านำมาใช้นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อให้รถใช้งานได้นานๆ โดยไม่ต้องเข้าศูนย์บริการ(service center) ไม่ใช่สร้างมาเพื่อซ่อมเหมือนค่ายรถยนต์น้ำมัน

คราวนี้บริษัทจะเอาเงินกำไรมาจากไหน?

เป็นปัญหาที่น่าปวดหัวและชวนคิดอย่างมากเลยว่า อ้าวเห้ย ถ้าไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรองอากาศ/ซ่อมรถ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมารันบริษัทฟ่ะ ทำให้อีลอนพัฒนาโปรเจคการขาย software ขึ้นมาแหละครับ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนั้นอีลอนได้ทำการเปิดขายหรือให้ใช้งาน software เป็นการชั่วคราวดังนี้ครับ

  • FSD(Full Self-driving) ราคา $12,000 หรือ 396,000 บาท
  • FSD(Full Self-driving) Subscription ราคา $200 (6,600 บาท) ต่อเดือน
  • Premium connectivity (ใช้ internet ในรถ) $10 หรือ 330 บาทต่อเดือน
    • ในหมวดของ Premium connectivity นั้น จะ enable(อนุญาติ)ให้รถสามารถใช้งาน spotify, youtube, tiktok, netflix, disney plus, hulu, หรือแม้กระทั่ง sentry live ได้นะครับ ถ้าไม่ซื้อ package นี้ก็จะไม่สามารถใช้งานโปรแกรมเหล่านี้ได้นอกจากว่า รถต่อ wifi ทิ้งเอาไว้ครับ(ยกเว้น sentry live นะครับ อันนี้ต้องต่อผ่าน premium connectivity เท่านั้น)

หมายเหตุ : youtube, tiktok, netflix, disney plus, hulu ใช้งานได้กับรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า จากอเมริกาหรือบางประเทศนะครับ ไม่สามารถใช้งานได้กับ Tesla บางประเทศเช่น ฮ่องกงครับ

หมายเหตุ 2 : ตอนนี้ ฟังชั่น FSD ใช้งานได้เฉพาะอเมริกาที่เดียวเท่านั้นครับ

อนาคตของ App Store Tesla จะหน้าตาเป็นอย่างไร?

ผมมองว่า อนาคตอันใกล้นี้ Tesla น่าจะเปิดตัวทั้ง free app download อย่างเช่น youtube, spotifiy, netflix, disney plus, hulu, browser, เกมส์ต่างๆ ,และอื่นๆให้ download กันฟรีๆ

แต่บริษัทก็จะทำเงินจากการขาย software เช่น FSD, หรือระบบช่วยการขับอื่นๆ ในอนาคตเป็นแน่แท้

ผมมองว่าถ้า FSD ใช้งานได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฏหมายจริงๆ ธุรกิจต่อมาที่ชาว Tesla จะได้ใช้งานคือ robotaxi ซึ่งจะอนุญาติให้รถขับไปรับ-ส่งคนโดยที่เจ้าของรถนั่งรับเงินอยู่ที่บ้านนะครับ

ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ ผมมองว่า FSD จะเป็นสิ่งจำเป็นของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทุกคันในอเมริกา(เฟสแรก)และบริษัท Tesla ก็จะนั่งกินเงินเดือนล่ะเป็นล้านๆ เหรียญจากการทำ FSD และ robotaxi ไปพร้อมๆ กันเลยครับ (ลองคิดเล่นๆ นะครับ ตอนนี้อเมริกามี Tesla วิ่งอยู่ 500,000 คัน ถ้าทุกคันสามารถทำ robo taxi ได้ก็เท่ากับว่า คุณก็เปิด app ให้รถออกไปขับรับคนทำงานแทนคุณสิครับ)

500,000 x $12,000 = $6,000,000 หรือ 198 ล้านบาท

เยอะนะครับ แล้วถ้า 500,000 คันทำได้จริง คนอื่นก็แห่มาซื้อรถไปทำอาชีพนี้อีก รับรองตัวเลขนี้เป็นตัวเลขประมาณการณ์แบบต่ำที่สุดครับ

นี่มันคือ Mcdonald Business plan เคลื่อนที่ชัดๆ ครับ เป็นทั้งเจ้าของ software เพื่อขายและเจ้าของธุรกิจ Robot taxi กินค่าหัวคิดเหมือนพวก grab อีก ฮ่าๆ ไม่รวยก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ

BLINK DRIVE TAKE

เป็นไงครับ คราวนี้เราจะเห็นได้ว่า บริษัท Tesla สามารถมีกำไรมหาศาลหลังจากขายรถไปแล้ว เหมือนพวก legacy auto(ค่ายรถยนต์น้ำมันยักษ์ใหญ่)เลยครับ แต่คราวนี้คือขาย software ครับไม่ใช่ hardware(ไส้กรองน้ำมันเครื่อง)อีกแล้ว ดังนั้น เชื่อว่าอีก 4-5 ปีจากนี้ค่ายยุโรปคงต้องเดินตามเกมส์ของเทสล่าครับ ไม่งั้นคงตกโลกไปเลยครับ

คาดว่า การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือการเปลี่ยนอะไหล่รถจะเป็นเรื่องคลาสสิก(เหมือนล้างฟิล์มกล้องถ่ายรูป)ภายใน 10 ปีจากนี้ในอเมริกา, ยุโรป, และจีนครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email