ตอนนี้คนที่วางแผนซื้อรถยนต์ไตอนนี้คนที่วางแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla (มือสอง)ในอเมริกาถึงขั้นวิกฤตแล้วนะครับ เพราะราคารถยนต์ไฟฟ้า Tesla (มือสอง)ทุกรุ่นในอเมริกานั้นพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างต่ำ $5,000 หรือ 165,000 บาทไปแล้วครับ สาเหตุหลักก็มาจากหลายอย่างนะครับ เดี๋ยว Blink Drive จะเล่าให้ฟัง
1. ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก Forbes เค้าได้เอาข้อมูลจากเว็บ carsguru ซึ่งเป็นเว็บที่ทำวิจัยเกียวกับพฤติกรรมผู้บริโภค(ซื้อรถ)มาเปิดเผยว่า
“Rising gas prices would be especially influential to those on the fence who ‘possibly’ would own an EV in the next decade,”
ราคาน้ำมันที่ขึ้นไม่หยุดอย่างนี้จะส่งผลกระทบ(ทางอ้อม)ให้ประชาชนหันไปสนใจ EV มากขึ้นภายในทศวรรษหน้านี้
carsguru
เค้าได้ทำแบบสำรวจต่ออีกว่าถ้าราคาน้ำมันขึ้นไปเป็น $4 ต่อ แกลลอน(US) หรือ 34 บาทต่อลิตรจะมีผู้คนมากกว่า 26 % ที่หันไปสนใจรถยนต์ไฟฟ้า
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงเกิน $5 ต่อแกลลอน(US)หรือ 43 บาทต่อลิตรจะมีผู้คนมากกว่า 57% หันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าทันทีเลย
หมายเหตุ : ตอนนี้บางรัฐในอเมริกานั้นได้ขึ้นราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $5 ไปแล้ว ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมีต้นทุนที่สูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือคนก็พยายามฉีกหนีค่าใช้จ่ายเหล่านี้โดยการหันไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้า คราวนี้ demand (ความต้องการ)เก่าก็ขายไม่ทันอยู่แล้ว เจอ demand ใหม่มาแบบนี้ Tesla ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ทันขายกันเลยทีเดียวครับ
ส่วนอีกเรื่องที่ Forbes ได้พูดเอาไว้คือ Brand matters too — with Tesla the clear winner. หรือแปลว่า เวลาคนเปลี่ยนใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเค้าก็คำนึงถึงยี่ห้อด้วย ทำให้ Tesla เป็นผู้ชนะในเกมส์กระดานนี้แบบไม่ต้องออกแรงสู้เลย
2. Chipset Shortage(ชิปขาดแคลน)
อันนี้ผมไม่ค่อยอยากให้น้ำหนักเรื่องนี้เพราะว่า Tesla น่าจะเป็นบริษัทเดียวที่ไม่ลดกำลังการผลิต(แถมเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 30-50 % ด้วยซ้ำ) อีกเรื่องคือกราฟมันฟ้องครับ
ถ้าดูจากกราฟด้านล่างดีๆ จะเห็นได้ว่ารายได้ Tesla กลับเพิ่มขึ้นในช่วง Chip shortage (ตั้งแต่ต้นปี 2021)ที่ผ่านมา
และถ้าดูอีกมุมนึงก็ปรากฏว่า Tesla สามารถทำกำไรพร้อมกับมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจาก Ford ที่ลดกำลังการผลิตไป 27% หรือ GM ลดกำลังการผลิตไป 33 % ครับ
Tesla กลับไม่ได้รับผลกระทบเหมือนเจ้าอื่น
ถ้าถามว่า Tesla ได้รับผลกระทบจากเรื่อง Chip Shortage ไหม ผมมั่นใจว่าได้รับผลกระทบ(แต่น้อยมากๆ)ครับ เนื่องจาก Tesla เน้นการสร้าง Chipset บางส่วนแบบ in-house เอาไว้(เหมือนกับ Apple) ทำให้เค้าสามารถคุมราคา chipset ได้ดีกว่าค่ายรถอื่นๆ ที่ต้องไปซื้อ Chipset จากผู้ผลิต Chip ครับ
อ่อผมขอย้ำอีกครั้งนะครับ chipset shortage ไม่ได้แปลว่า chip ขาดแคลนครับ เพียงแต่ราคา Chipset มันขึ้นเนื่องมาจากสาเหตุหลักคือเรื่องการผลิตการ์ดจอ, คอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ค,หุ่นยนต์ดูดฝุ่น,มือถือ, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มากขึ้นแบบ 10-100 เท่าจากแต่ก่อน
Demand มากขึ้น ผู้ผลิต Chip จึงปรับราคาขาย
ผู้ผลิต chipset ที่เคยขาย chip ให้กับบริษัทรถยนต์ก็ผลิตส่งมอบให้กับพวกบริษัท electronic เหล่านั้นไม่ทัน พอมาถึงจุดที่ demand มันมากกว่า supply เค้าก็ต้องทำการขึ้นราคา chipset เพื่อคัดเลือกลูกค้าครับ ปรากฏว่า ค่ายการ์ดจอยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อ chipset เหล่านั้น
แต่ค่ายรถยนต์ต่างๆ เค้ามีต้นทุนค้ำคอเต็มไปหมด ถ้าขยับต้นทุน chipset เพิ่มขึ้น เค้าก็ต้องไปลดคุณภาพการผลิตรถยนต์ อย่างที่ผมเคยกล่าวไปว่า Porsche ได้ทำการตัด option พวงมาลัยปรับตำแหน่งแบบไฟฟ้าออกไปและเอาพวงมาลัยธรรมดา(ปรับโดยใช้มือ)เข้ามาแทน (ที่มา : ชิปขาดตลาด Porsche ขอเปลี่ยนมาผลิตรุ่นพวงมาลัยธรรมดาแทนรุ่นไฟฟ้า) ทำให้ผู้ผลิตบางรายตัดสินใจหยุดสายการผลิตไปเลยก็มีเพื่อรอสถานการณ์ดีขึ้น
แต่ผมพูดจริงๆ ครับ ตั้งแต่มีการขุด bitcoin มานี้ พวกเราไม่เคยเห็นราคาการ์ดจอตัว top ต่ำกว่า 100,000 บาทกันเลยนะครับ ราคาการ์ดจอในทุกๆ วันมีแต่จะสูงขึ้น ดังนั้นผม(ขอย้ำว่านี่คือความคิดส่วนตัวของผม) คิดว่า ถ้าผู้ผลิตรถยนต์ไม่หาทางผลิต chipset เองล่ะก็ รับรองว่าอีก 3-5 ปีนี้ไป ราคารถยนต์จะมีแต่สูงขึ้นครับ
อย่างไรก็ตาม Tesla ไม่ได้ใช้ผู้ผลิต chipset เหล่านี้ทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม เนื่องจากเค้าก็มี R&D ส่วนตัวและเค้าก็มองว่าอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าต้องใช้งาน Chipset เยอะขึ้นมาก ทำให้เค้าหันไปผลิต Chipset เองมาตั้งแต่ปี 2019 ครับ
3. ใบจองรถหมดเกลี้ยง
อย่างที่รู้กันคือ Tesla นั้นมีความต้องการ(demand) สูงมากๆ ในทุกประเทศ ส่วนเรื่องความต้องการนั้นก็มาจากข้อมูลด้านบนครับ คราวนี้ Tesla ไม่รู้จะทำยังไงเพราะไปสัญญากับลูกค้าในหน้าเว็บเอาไว้แล้วว่าจะส่งมอบรถให้ทันภายใน 6 เดือน แต่ปรากฏว่า พอถึงเวลาจริงๆ demand พุ่งเข้ามาไม่หยุด จนตอนนี้ Tesla model Y ในอเมริกาขายหมดเกลี้ยไปแล้วครับ
ใช่ครับ ใบจอง Tesla Model Y ของปีนี้ขายหมดไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแล้วครับ ตอนนี้ถ้าใครสั่งจอง Tesla Model Y ก็ไปรับรถกลางปีหน้า(เดือนมิถุนายน 2564)ได้เลยครับ
ทำให้มันเกิด demand ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองยังไงล่ะครับ คนที่อยากได้ Tesla Model Y มาขับบางคนถึงขั้นจ่ายเงินเพิ่ม $5,000 – 8,000 หรือ 165,000 – 264,000 บาทต่อคันเพื่อจะได้ Tesla Model Y มาครอบครองครับ
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นผมจะเอา Tesla Model Y ในท้องตลาดตอนนี้ประมาณ 5 คันมาโชว์ให้ดูพร้อมกับเอาราคามือหนึ่งมาเปรียบเทียบให้อ่านนะครับว่า มันแพงขึ้นกว่ากันแค่ไหน
Tesla Model Y Performance ราคา(มือสอง) 2.47 ล้านบาท($74,900)
รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y คันนี้เป็น Performance นะครับ ขับมาแล้ว 6,320 km หรือ 3,950 ไมล์ (ใช้งานมา 6 เดือน) ซื้อมาประมาณ $59,990 (ราคาต้นปี)หรือ 1.97 ล้านบาท กำไรเหนาะๆ ที่ 400,000-500,000 บาทครับ
Tesla Model Y Long Range ราคา(มือสอง) 2.06 ล้านบาท($62,500)
รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y คันนี้เป็น longrange นะครับ ขับมาแล้ว 15,520 km หรือ 3,950 ไมล์ ซื้อมาประมาณ $49,990 (ราคาต้นปี)หรือ 1.65 ล้านบาท กำไรเหนาะๆ ที่ 300,000 บาทครับ
ไปต่อกันที่ Tesla Model 3 มือสองในอเมริกาหน่อยไหมครับ?
Tesla Model 3 รุ่น SR+ ราคามือสอง 1.71 ล้านบาท($51,900)
รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 คันนี้เป็นรุ่น Standard Range Plus หรือรุ่น Base ของ Tesla Model 3 นะครับ ราคาขายตอนกลางปีนั้นอยู่ที่ $39,900 หรือ 1.32 ล้านบาท ใช้งานมา 3,600 ไมล์หรือ 5,760 km เอามาขายต่อได้กำไรประมาณ 3-4 แสนบาทครับ
อีกคันขอเป็น Tesla Model S refresh ตัวใหม่หน่อยล่ะกันนะครับ เอาตัว Top สุดไปเลยคือ Tesla Model S Plaid ครับ
Tesla Model S Plaid ราคามือสองอยู่ที่ 5 ล้านบาท($152,990)
สาเหตุที่ผมเอารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้มาเปรียบเทียบราคามือหนึ่งกับมือสองเพราะตอนนี้ demand(ความต้องการ)รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้มีมากที่สุดในท้องตลาดอเมริกาแล้วครับ
มาดูกันว่าราคามือหนึ่งของ Tesla Model S Plaid นั้นจะเริ่มต้นที่เท่าไหร่นะครับ
ราคามือหนึ่ง Tesla Model S Plaid ราคาอยู่ที่ $129,990 หรือ 4.3 ล้านบาท กำไรเหนาะๆ ที่ 800,000 บาทครับ (แม่เจ้า)
ที่มา : Tesla
BLINK DRIVE TAKE
จริงๆ มันมีอีกปัจจัยนึงที่ทำให้ราคา Tesla มือสองขึ้นแบบน่าเกลียดแบบนี้ก็คือ การขึ้นราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ทุกรุ่นครับ เดี๋ยวผมจะเอาข้อมูลนี้ไปเล่าในโพสถัดไปนะครับ ไม่งั้นมันจะดูเยอะและลายตามากๆ ในโพสนี้ครับ
ผมขอหยอดน้ำจิ้มทิ้งท้ายเอาไว้ตรงนี้ก่อนไปเขียนโพสถัดไปว่า Demand รถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาตอนนี้รุนแรงมากๆ ครับ ทำให้ Tesla ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ทันส่งมอบลูกค้า Tesla ก็เลยคิดกลยุทธ์ขึ้นราคารถยนต์ไฟฟ้าของตนเองไปเลย(tesla Model 3 บางรุ่นขึ้นไปประมาณ 330,000 บาทหรือ $10,000 ไปแล้วครับ) แม้กระทั่ง Tesla ขึ้นราคารถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถลด demand (ความต้องการ)รถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาได้เลยครับ
แปลกใจเนอะที่รัฐมนตรีหรือผู้ใหญ่ในบ้านเราไม่เห็นโพสแบบนี้ ทำให้เค้าไม่เห็นความสำคัญของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ
และผมก็เสียใจจริงๆครับ ที่เราไม่สามารถไปจีบอีลอนมาลงทุนได้ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ใกล้เค้าแบบระยะที่เรียกได้ว่าติดโควิดได้สบายๆ แล้วนะครับ
ปล. ทำไมผมถึงเสียใจมากๆ หรอครับ ก็เพราะ GDP ส่งออกอันดับหนึ่งของไทยคือยานยนต์สิครับ ตอนนี้เทรนรถยนต์เปลี่ยนแล้ว demand รถยนต์ไฟฟ้าในต่างประเทศก็เริ่มเพิ่มขึ้นเช่นกัน ถ้าเราไม่เริ่มผลิต EV วันนี้ คาดว่าอนาคตอีก 1-2 ปี จีนคาบไปรับประทานทั้งหมดแน่นอนครับ แล้วลูกหลานของเราทำกำลังจบใหม่เป็นแสนๆ คนต้องมาตกงานเพราะการตัดสินใจประหลาดๆ ของคนรุ่นเรานี่แหละครับ