Blink Blink
TeslaUSA

รีวิวการใช้งาน Tesla Model Y ในโพสเดียว 4 คันรวด, จัดไป!!

เนื่องจาก Tesla Model Y กำลังจะเข้าไปขายที่ไทยเร็วๆ นี้และสมาชิกเพจบางท่านก็ request ให้ผมช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับ Tesla Model Y แบบทุกซอกทุกมุมจากประสบการณ์ของผมเอง มันก็เลยเป็นที่มาของโพสนี้ครับ

1. Tesla Model Y Long Range – 14/10/20

ก่อนอื่นเลยนะครับ ผมขอย้อนเวลากลับไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว(วันที่ 14 ตุลาคม 2563)ซึ่งเป็นวันที่ผมโพสการทดสอบ Tesla Model Y (น่าจะเป็นคนไทยคนแรกที่รีวิว Tesla Model Y ในตอนนั้นครับ) โดยตอนนั้นผมให้สัญญากับตัวเองว่าถ้าสอบเสร็จจะไปทดสอบขับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y กัน

Tesla Model Y ที่ผมไปลองในวันนั้นเป็น Tesla Model Y รุ่น Long Range หรือเป็นรุ่น Base (รุ่นเริ่มต้น)ของอเมริกา ส่วน Tesla Model Y ที่ผลิตในจีนนั้น รุ่นเริ่มต้นจะเป็น SR+ หรือย่อมาจาก Standard Range Plus นะครับ

การทดสอบครั้งนี้ผมได้แบ่งการทดสอบออกเป็นข้อมูลต่างๆ ดังนี้

อัตราเร่ง 0-60 mph (0-96 km/h)

อัตราเร่ง 0-96 km/h ในรุ่น Long Range (ขับสี่) นั้นจะอยู่ที่ 5.1 วินาทีนะครับ

กล้องรอบคัน 3 ตัวทำงานทันทีที่ใส่เกียร์ถอย

กล้องที่ใช้ในการถอยจะมีทั้งหมด 3 ตัวด้วยกันคือ กล้องหลัง(หลัก), กล้องซ้าย, และกล้องขวา ส่วนกล้องหน้าจะไม่ทำงานเพื่อให้ view เล่นไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น กล้องหน้ามันจะเกี่ยวข้องกับระบบ autopilot, FSD และใช้บันทึกเหตุการณ์(Sentry mode และ Dash cam mode) เท่านั้นครับ

อันนี้เป็นฟีเจอร์ที่มีใน Tesla Model 3 ทั่วไปนะครับ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนจากรถยนต์น้ำมันมาขับรถยนต์ไฟฟ้า ผมว่ายังไงคุณก็ต้องว้าวกับกล้องทั้ง 3 ตัวนี้ครับเพราะเค้าให้จอแสดงผลมาที่ใหญ่มากๆ เรียกได้ว่า ถ้ามีจิ้งจกเดินอยู่แถวนั้นกล้องมันก็จับภาพได้อย่างแน่นอนครับ(ละเอียดจริงๆ)

Autopilot (แถมให้มา)

ระบบการขับขี่อัตโนมัติของ Tesla นั้นแบ่งออกเป็นหลักๆ สองส่วนด้วยกันคือ

  1. Autopilot (สเปคอเมริกาแถมมาให้ทุกคันเพราะราคารวม software license ไปแล้ว)
  2. FSD (Full Self Driving) เป็น software ที่เปลี่ยนรถของคุณให้กลายเป็นหุ่นยนต์ติดล้อและขับไปไหนมาไหนเองให้คุณ ปล. อีลอนบอกว่าจะเปิดให้ใช้งานเร็วๆ นี้ ราคา FSD นั้นต้องจ่ายเพิ่มที่ $10,000 หรือ 330,000 บาท

หมายเหตุ : ฟีเจอร์ Autopilot นี้มีใน Tesla Model 3 ทุกรุ่นอยู่แล้ว

โดย software Autopilot นั้นจะเป็นการแค่ประคองพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลนและประคองให้รถวิ่งตามคันข้างหน้าโดยทิ้งระยะห่างเป็นระยะที่เรากำหนด

ส่วน FSD นั้นคือการให้รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ขับให้เราจนไปถึงที่หมายกันเลยทีเดียว(ยังไม่เปิดใช้ในปีนี้)

ระบบถอยจอดเอง(แถมมาให้)

รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทุกคัน(ในอเมริกา)จะมีฟีเจอร์นี้แถมมาให้นะครับ โดยตัวรถจะทำการบังคับพวงมาลัยและทำการถอยจอดให้เอง แต่ยังไงก็ตาม ผมบอกตามตรงว่า ใช้งานยากนิดนึงเพราะเราต้องไปจอดขนานกับรถที่จอดอยู่แล้วต้องรถจะทำการเรียนรู้ที่ว่างตรงนั้นและกะระยะถอยจอดให้เองครับ

ซึ่งตอนรถมันจะจอดเองนั้น พวกผมก็เสียวๆ อยู่นะเพราะตัวรถมันเข้าไปชิดกับรถด้านข้างแบบนี้เลย คือแบบว่าใกล้มากๆ (ห่างจากรถคันนั้นเพียง 4-5 cm เท่านั้นเอง)

หมายเหตุ : ฟีเจอร์นี้ก็มีใน Tesla Model 3 ทั่วไปครับแต่รถเหล่านั้นจะต้องมี autopilot hardware และ software อยู๋นะครับ(บางรุ่นไม่มี software ก็อดไปครับ)

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น พอผมกดเปิดประตูหลังปุ๊บก็ทำการเปิดที่เก็บของแล้วลองเข้าไปนั่งดูเลยครับ สิ่งที่เจอคือ เห้ย Tesla Model Y นั้นมีที่เก็บของลึกมากๆ ลึกจนแบบว่าผมเอาตัวเองที่สูง 180 cm เข้าไปนอน(งอเข่า)ได้ทั้งตัวเลยครับ

คือแบบว่า ถ้าเอาคนตัวสูงซัก 160 cm มานั่งคือนอนลงไปได้เลยครับ

2. Tesla Model Y รุ่นปี 2021

หลังจากนั้นก็ผ่านไปประมาณ 5 เดือนกว่าแหละครับ ผมก็พารุ่นน้องไปลองรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y รุ่น Long Range รหัสปี 2021 ที่ศูนย์ Tesla SC (Service Center) แถวบ้าน

สิ่งนึงที่ผมชอบเกี่ยวกับ Tesla Model Y และไม่สามารถลบความชอบนี้ได้เลยคือ Head Room (พื้นที่ระหว่างศีรษะไปจนถึงหลังคา)ครับ

Tesla Model Y นั้นให้พื้นที่ทุกส่วน(โดยเฉพาะ Head room) มาเยอะมากๆ เอาเป็นว่าผมสูง 180 cm แล้วไปนั่งเนี่ย ผมได้ headroom เหลือๆ อยู่ประมาณ 2 กำปั้นสบายๆ

อีกเรื่องนึงที่ผมสังเกตุจากการลองรถรอบนี้คือ หลังคาครับ จริงๆ ผมไม่เคยสนใจเลย แต่คุณต้อง(รุ่นน้องที่ไปด้วยกัน)เค้าบอกว่า “พี่หลังคาคันนี้มันใช้กระจกชิ้นเดียว” ผมก็หันไปมองแล้วก็บอกว่า เออจริงว่ะ รถ Tesla Model 3 นั้นใช้กระจก 2 ชิ้นมาประกบกันโดยมีคานกั้นระหว่างกลาง แต่ Tesla Model Y นั้นเป็นหลังคากระจกแผ่นเดียวเพียวๆ ไปเลย

ส่วนภาพด้านล่างนี้เป็นหลังคากระจกของ Tesla Model 3 นะครับ

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าตัว Model Y 2021 นั้นมีสิ่งที่แตกต่างจากปี 2020 ได้อย่างชัดเจนคือ ฟีเจอร์ BoomBox ซึ่งจะเป็นฟีเจอร์ในการเปลี่ยนเสียงแตร์รถให้เป็นเสียง ringtone อะไรก็ได้เช่น เสียงตด, เสียงหมาเห่า, เสียงกระดิ่ง, หรือจะเอาไฟล์เสียง 5-10 วินาทีมาใส่ก็ได้ครับ

หมายเหตุ : Tesla Model Y รุ่นที่เข้าไทยนั้นจะไม่ได้รับสิทธิ์การใช้งาน Boombox ครับ การใช้งาน Boombox จะสงวนให้ใช้เพียงบางประเทศ(อย่างอเมริกาเป็นต้น)ครับผม

ยังไงผมทิ้งคลิปการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y รุ่นปี 2021 เอาไว้ด้านล่างนี้นะครับ

ปล. ณ ปัจจุบัน รุ่นน้องที่ผมพาไปลองรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y คนนั้นซื้อ Tesla Model 3 Performance ขับไปแล้วครับ เรียกได้ว่าผมป้ายยาสำเร็จนะครับ ฮ๋าๆ(คลิปด้านล่างนี้ครับ)

3. Tesla Model Y 2021 รุ่น 7 ที่นั่ง

หลังจากนั้นผมก็ได้ไปสัมภาษณ์คนไทยคนแรกที่ซื้อ Tesla Model Y รุ่น 7 ที่นั่งมาขับ ซึ่งคนนั้นคือ คุณวิวจากช่อง มิสเตอร์ExitStrategy

โดยคุณวิวบอกมาว่า option แถวสามนั้นจะต้องจ่ายเงินเพิ่มประมาณ $3,500 หรือ 115,500 บาทและจะต้องทำการใส่ซื้อ option นี้มาจากโรงงานเลยเพราะว่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y รุ่นติดตั้งแถวสามกับรุ่นธรรมดานั้นจะมีโครงสร้างด้านท้าย(ภายใน)ที่ต่างกันครับ

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความนูนของตัวเบาะที่เรียกได้ว่านูนออกมาจนเห็นได้ชัดครับ

ส่วนถ้าเป็นพื้นที่บริเวณด้านท้ายของ Tesla Model Y ทั่วไปก็จะประมาณภาพด้านล่างนี้ครับ

จะเห็นได้ว่าถ้าเป็น Tesla Model Y แบบ 5 ที่นั่ง(ทั่วไป) พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังจะโผล่ออกมาเยอะมากๆ ครับ เรียกได้ว่าเอาคนลงไปนอน(คดตัว)ได้เลยครับ

มาถึงการใช้งานจริงกันบ้างดีกว่า ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปนั่งตรงเบาะแถวสามของ Tesla Model Y คันนี้นะครับ อย่างที่เห็นตามภาพด้านล่างเลยครับ หัวผมชนกับกระจกอย่างจัง และไม่ว่าจะเป็นท่านั่งเป็นท่าไหนก็ไม่สามารถนั่งได้สะดวกเลย

ปล. ส่วนสูงผมอยู่ที่ 180 cm นะครับ

ทำให้ผมมองว่าเบาะแถวสามนั้นเหมาะกับเด็กๆ หรือคนที่สูงไม่เกิน 165 cm แหละครับ ถ้าสูงเกิน 165 cm ไปนั่งก็จะรู้สึกอึดอัดอย่างมาก

อย่างไรก็ตามผมลองหาข้อมูลใน internet ดูว่า ทำไม Tesla ถึงพยายามเอาแถวสามมาใส่ใน Tesla Model Y ก็ปรากฏว่าไปเจอข้อมูลชุดนึงว่า เค้าออกแบบแถวสามมาให้เด็กๆ ได้นั่งไปด้วย หรือให้คนทั่วไปได้นั่งรถไปด้วยในระยะทางสั้นๆ (4-5 km) แทนที่จะไปนั่งทับตักกันก็ไปนั่งแถวสามให้มันมีพื้นที่ในการนั่งมากขึ้นครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น แถวสามนี้ไม่เหมาะกับการเดินทางข้ามจังหวัดหรือยาวๆ แบบ Road Trip นะครับ

4. Camp Mode กลางป่าด้วย Tesla Model Y

รอบนี้ผมได้ลงทุนไปเช่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y มาเพื่อรีวิวเลยนะครับ ก่อนอื่นผมเข้าไปเว็บไซต์เช่ารถชื่อว่า Turo และทำการเช่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y คันนี้โดยมีค่าใช้จ่ายดังนี้ครับ

เอาจริงๆ ค่าใช้จ่ายนี้ถ้าคิดเป็นเงินไทยแล้วก็ยังถือว่าถูกนะครับกับการได้ขับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y พร้อมกับนอนในรถได้ถึง 2 คืนครับ จริงๆ ถ้าผมไปนอนโรงแรมจะเสียเงินเยอะกว่านี้อีกครับ

แต่ไหนๆ ก็เช่ามาแล้วเนอะมีดูกันว่าผมรีวิวอะไรในรถคันนี้ไปบ้างนะครับ

ทดสอบอัตราเร่ง 0-100 km/h(จบภายใน 5 วินาที)

ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าผ่าน Tesla Supercharger(เต็ม 80% ภายใน 25 นาที)

ในวิดีโอนี้จะเป็นวิดีโอบอกความง่ายในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y คันนี้ที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Supercharger นะครับ บอกเลยว่า สะดวกและรวดเร็วอย่างมาก ผมยังพักไม่หายเหนื่อยเลย รถชาร์จเต็ม( 88% )แล้ว

กางเต้นท์นอนในรถ

อันนี้เป็นรีวิวที่ผมอยากทำที่สุดนะครับ โจทย์ของผมคือว่าผมอยากพาแฟนไปกางเต้นท์ในป่า แต่ถ้าจะซื้อเต้นท์ไปเอง ค่าใช้จ่ายก็ประมาณ $200 หรือ 6,000 บาท(รวมเตียงลม, เต้นท์) ครั้นจะไปเช่าห้องพักแถวป่าแบบนี้ก็กลัวเรื่อง Bedbug (แมลงเลือด) หรือ COVID-19 เพราะที่พักแถวนั้นไม่ใช่ chain hotel (โรงแรมในเครือ) อย่าง Double Tree หรือ Hilton ครับ

ทำให้ผมเหลือ choice (ตัวเลือก)ไม่มากคือเอารถยนต์ไฟฟ้า Chevrolet Bolt ของผมไปนอนในป่า แต่รถผมหน้าตาแบบด้านล่างนี้ ถ้าจะพับเบาะก็ไม่มีที่ให้ผมนอนอยู่ดีครับ

ผมก็ต้องเลือกระหว่างไม่ไปเที่ยวป่าหรือไปแต่เช่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y คันนี้ไปเพื่อทำเป็นที่นอนในป่าเลยครับ ยังไงก็ตามถือว่าผมตัดสินใจถูกที่เอารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y ไปเป็นเต้นท์นอนกลางป่านะครับเพราะวันที่ผมไปนอนนั้น อากาศ(ตอนกลางคืน)ที่นั่นร้อนประมาณ 31 องศาเซลเซียส ซึ่งผมเห็นเต้นท์ข้างๆ รถผมต้องเปิดเต้นท์และเอาพัดลมเป่าใส่เต้นท์ทั้งคืนเลยครับ

ส่วนผมก็นอนบนที่นอนแบบที่เห็นด้านล่างนี้ครับ

ส่วนภาพด้านล่างนี้คือค่าใช้จ่ายในการเช่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y เพื่อมานอนในป่า 1 คืนครับ บางคนบอกว่า โหตั้ง 10,000 บาทเลยหรอ แต่ราคานี้ผมคิดว่าไม่แพงเพราะผมไม่ได้เสียค่าน้ำมันหรือค่าไฟซักบาทครับ(เจ้าของรถจ่ายเงินค่า supercharger ให้ผมฟรีๆครับ)

ถ้าผมเช่ารถยนต์น้ำมันมาพักนั้น ผมก็จะต้องเสียเงินมากกว่าประมาณนี้ครับ ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้เอารถยนต์ไฟฟ้า Chevrolet Bolt มานั้นเพราะว่า สถานีชาร์จบนเส้นทางที่ขับมานั้นไม่ค่อยมีแบบชาร์จเร็วครับ ส่วนของ Tesla นั้นมีเต็มอเมริกาเรียกว่าขับไปไหนก็อุ่นใจครับผม ถ้าเทียบกันจริงๆแบบหมัดต่อหมัดแล้ว ถ้าผมเช่ารถยนต์น้ำมันมาเที่ยวพร้อมกับนอนที่พักที่นี่ผมจะเสียเงินมากกว่าเอา Tesla Model Y มานอนกางเต้นท์แบบนี้ครับผม

เปิดแอร์ทั้งคืน(เสียเงินค่าไฟประมาณ 48 บาท)

ผมลองเปิดแอร์นอนทั้งคืนนะครับ รถคันนี้กินไฟไปจาก(สามทุ่มครึ่ง) 54% เหลือ(ตอนตี 5ครึ่ง) 39%

ใช้งานประมาณ 8 ชั่วโมง หายไปประมาณ 15% หรือประมาณ 12 kWh ครับ [ค่าไฟ ถ้าตีเป็นเงินไทย(หน่วยล่ะ 4 บาท)จะตกประมาณ 48 บาท แต่ไฟฟ้านี้ผมได้มาฟรี(เจ้าของจ่ายค่าชาร์จรถที่ Supercharger ให้)นะครับดังนั้นก็เรียกว่านอนฟรีครับ] ผมสูง 180 cm – นอนสบายมากๆ ขาเหยียดออกได้เต็มที่ครับ

ปล. camp mode = รถจะอัดวิดีโอตลอดเวลารอบคันทั้งคันและเปิดแอร์ตลอดเวลา(ประมาณ 21 องศาครับ) อากาศด้านนอกรถอยู่ที่31องศาเซลเซียส

หลังตี 5 ครึ่งไปผมลองเสียบชาร์จรถกับเสาไฟข้างที่จอดรถครับ ไม่กล้าเสียบชาร์จตอนนอนเพราะที่ชาร์จหน้าตาเป็นแบบจีนแดง(ไม่ใช่ของเทสล่า)และกลัวว่ากลางคืนฝนจะตกแล้วเก็บที่ชาร์จไม่ทันนะครับ 

ส่วนการเก็บสัมภาระนั้นก็อย่างที่เห็นครับว่ามีที่ให้เก็บเยอะมากๆ ก่อนหน้านี้ผมรีวิวที่เก็บสัมภาระด้านหลังไปแล้วนะครับ ส่วนด้านหน้าก็อย่างที่เห็นในรูปด้านล่างครับ จะเห็นได้ว่าพื้นที่ frunk(ใต้ฝากระโปรงหน้า)ของ Tesla Model Y นั้นใหญ่มากๆ ผมเอา luggage (กระเป๋าเดินทางสำหรับหิ้วขึ้นเครื่อง)ใส่ลงไปใบนึงยังมีพื้นที่ให้ใส่สายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกสบายๆ เลยครับ

BLINK DRIVE TAKE

ผมมองว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ใช่ตอบโจทย์เพียงแค่เรื่องรักษ์โลกแต่อย่างเดียวอีกแล้วครับ แต่มันยังตอบโจทย์เรื่องความประหยัด(ค่าใช้จ่าย)และความสะดวกสบายในการใช้งานอีกด้วยครับ โพสนี้จะเป็นโพสที่เล่าเรื่องราวการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y ตั้งแต่ปี 2019 (ที่ผมได้สัมผัสมา)จนถึงปี 2021

ถ้าอนาคตผมมีครอบครัว(มีลูก)จริงๆ ผมคงเลือก Tesla Model Y เป็นตัวเลือกแรกอย่างแน่นอนครับ เพราะมันตอบโจทย์ทุกอย่างในชีวิตครอบครัวจริงๆครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email