วันนี้สมาชิกเพจของ Blink Drive ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับข่าว เจ้าของรถไฟฟ้า 1 ใน 5 คันเปลี่ยนใจกลับมาใช้รถน้ำมันเหมือนเดิม ด้วยเหตุผลที่เดาได้ไม่ยาก มาให้ผมอ่านนะครับ หลังจากผมอ่านปุ๊บก็แปลกใจทันทีว่าทำไมมีผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าชาวอเมริกามากถึง 20 % ของผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดหันกลับไปใช้รถยนต์น้ำมันครับ
“Here, on the basis of results from five questionnaire surveys, we find that PEV discontinuance in California occurs at a rate of 20% for plug-in hybrid electric vehicle owners and 18% for battery electric vehicle owners. We show that discontinuance is related to dissatisfaction with the convenience of charging, having other vehicles in the household that are less efficient, not having level 2 (240-volt) charging at home, having fewer household vehicles and not being male.”
แปล – เราได้ทำการ survey เก็บข้อมูลโดยการตั้งคำถามทั้งหมด 5 คำถามกับคนที่เลิกใช้รถยนต์ไฟฟ้าและหันไปใช้รถยนต์น้ำมันในจำนวน 20 % ของคนที่ใช้งานรถยนต์น้ำมัน Plug-in hybrid กับ 18 % ของคนใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าล้วน พวกเราจะเห็นได้ชัดว่าสาเหตุหลักที่คนหันหลังให้กับรถยนต์ไฟฟ้าก็คือเรื่องชาร์จไฟที่บ้านของตน ซึ่งที่อเมริกานั้นปลั๊กไฟส่วนใหญ่จะเป็น 110 โวล์ทไม่ใช่ 240 โวล์ทเหมือนเมืองไทย ดังนั้นการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้หญิง(เพศหลักที่เลิกใช้งาน)
Scott Hardman
ใจความหลักๆ คือ คุณ Scott บอกว่า คนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 18 % หันกลับไปใช้รถยนต์น้ำมัน โดยไม่บอกด้วยว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออะไรหรือรุ่นอะไร หรือแม้กระทั่งปีผลิตก็ไม่ยอมบอก ทำให้ข้อมูลนั้นบิดเบือนอยู่เยอะมากๆ
ผมพอได้ทำการตรวจสอบข่าวนี้ลึกลงไปแล้วปรากฏว่าเจอข้อมูลบิดเบือนเต็มไปหมดเลยครับ ผมเลยอยากเอาข้อมูลที่ถูกต้องจากฝั่งอเมริกามาเสนอให้ทุกท่านได้อ่านเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
เอาผู้ใช้งานจากปี 2555-2561 มาโชว์ในปี 2564 เนี่ยนะ?
According to a study by Scott Hardman and Gil Tal, researchers at the University of California Davis and published in the Nature Energy journal, around 20 percent of people who bought a BEV in California, opted for ICE in their next vehicle. It is worth noting that the research was centered around data gathered from Californians who bought an electric vehicle between 2012 and 2018, so it may not be as accurate in 2021, although the point it makes is undeniably still relevant to many people.
อ้างอิงจากงานวิจัยของ Scott Hardman และ Gil Tal จากมหาวิทยาลัย University of California Davis นั้นได้ตีพิมพ์ในวารสาร the Nature Energy journal ว่า 20 % ของคนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า(BEV)มาขับในรัฐแคลิฟอร์เนียได้กลับไปใช้รถยนต์น้ำมัน (ICE car) ดูจากงานวิจัยก็จะเห็นความลำเอียงในการหาข้อมูลได้เลยเพราะข้อมูลที่หามาจากชาวแคลิฟอร์เนียนั้นมาจากคนที่ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2012 – 2018 เท่านั้น ซึ่งไม่มีข้อมูลจากผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหลังจากปี 2018 ซักคนเลย ข้อมูลนี้อาจจะมีส่วนจริงอยู่บ้างแต่ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงทั้งหมดเลย
ที่มา Insideev
อันนี้ผมคงประหลาดใจไม่น้อยที่เค้าเก็บข้อมูลตัวอย่างจากคนใช้รถปี 2555 – 2561 (2012-2018) มาใช้ในปี 2564 (2021)แถมหลังจากปี 2562 (2019)เป็นไปต้นไปนั้นพี่ Scott Hardman ไม่เอาข้อมูลมาใส่เลย ทั้งๆ ที่งานวิจัยนี้เพิ่งออกมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว(26 เมษายน 2564)
ทำไมถึงเอาข้อมูลแค่ปี 2555-2561 มาเป็นตัวชี้วัด?
Tesla Model 3 ออกมาวางขายในปี 2560 น่ะครับและเทสล่าแก้ไขเรื่อง bottle neck (คอขวด)ในการผลิตได้ในปี 2018 หรือ 2561 คำถามผมคือ ทำไมงานวิจัยนี้ต้องจำกัดตัวเลขลงก่อน Tesla เริ่มขาย Tesla Model 3 อย่างเป็นทางการด้วยครับ?
ในเมื่อคุณ Scott บริสุทธิ์ใจในการเปิดเผยบทความในปี 2564 นิ ทำไมไม่เก็บตัวเลขอีก 2 ปีหลังจาก Model 3 ออกมาวางขายแล้วน้า?
ลองดูจากกราฟด้านบนจะเห็นว่าถ้าคุณ Scott หันทำข้อมูลช้าไป 1 ปี ข้อมูลที่เค้าได้มาจะคลาดเคลื่อนทันทีคือมีคนเลิกใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าน้อยลงและมีคนที่หันกลับไปใช้รถยนต์น้ำมันน้อยลงครับ ถ้าอยากให้ Research นี้น่ารักขึ้น คุณ Scott ควรใจกับผู้อ่านโดยการทำ Research หลัง Tesla Model 3 ออกมาวางขายครับ ไม่ใช่เล่นเอาชุด Research ก่อน Tesla Model 3 มาวางขายมาทำ Research แบบนี้ครับ
อันนี้ต้องกลับไปเชคก่อนนะครับว่า ทำไมพี่แกหาข้อมูลนานจัง ดังนั้นแสดงว่าแกต้องหาข้อมูลมาทั้งประเทศสิ ถึงใช้เวลานานขนาดนี้ อ้าวจริงๆแล้วแกหาข้อมูลจากประชากรกี่คนกันน้าาา?
ข้อมูลจากคนใช้รถ EV : 14,000 คน
ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ นักวิจัยของมหาวิทยาลัย University of California Davis คนนี้หาข้อมูลมาจากการให้คนที่เคยใช้รถยนต์ไฟฟ้าและคนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่นั้นกรอกแบบสอบถาม โดยตัวเลข 14,000 คนนี้เป็นคนในเมืองที่แกอาศัยอยู่ทั้งหมดครับ ถ้าเปรียบเทียบงานวิจัยนี้เป็นการหาตัวอย่างนั้น นี่คือการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental sampling) นะครับ โดยการเอาข้อมูลจากกลุ่มประชากรย่อยๆ ในเขตที่ตัวเองอยู่เป็นหลักครับ
การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental sampling) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อให้ได้จำนวนตามต้องการโดยไม่มีหลักเกณฑ์ กลุ่มตัวอย่างจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถให้ข้อมูลได้ – ที่มา pioneer
จริงๆ แล้วประชาชนอเมริกาที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีอยู่ถึง 1.74 ล้านคนในปี 2563 ครับ ถ้าแกใส่ใจในการสุ่มตัวอย่างซักนิดตัวเลขไม่น่าจะออกมาแปลกแบบนี้(20 % นี่เวอร์มากครับ)ครับ
ดังนั้นตัวเลขที่แกสุ่มตัวอย่างมีเพียง 0.8 % จากผู้ใช้งานจริงทั้งหมดครับ
คนส่วนใหญ่เลิกใช้รถยนต์ไฟฟ้า Fiat 500e
The study found that people buying Tesla vehicles are the least likely EV owners to go back to gas, while Fiat 500e buyers are much more likely to go back to gas.
งานวิจัยพบว่าคนที่ซื้อ Tesla มาใช้นั้นมีเพียงจำนวนน้อยมากๆที่หันกลับไปใช้รถยนต์น้ำมัน ในขณะที่คนที่หันกลับไปใช้รถยนต์น้้ำมันคือคนที่ซื้อ Fiat 500e มาใช้
ที่มา : electrek
เหมือนเฮีย Scott จะพยายามเอาข้อมูลเท็จมาโยงโดยการไปสัมภาษณ์คนใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า Fiat 500e เกือบ 20 % ของผู้ใช้งานทั้งหมดและเอาข้อมูลมาลงในงานวิจัยเพราะในงานวิจัยฉบับนี้นั้น ผู้ใช้งาน Tesla หันกลับไปใช้รถยนต์น้ำมันน้อยมากๆ เลยซึ่งถือว่า Bias มากๆ
สเปค FIAT 500e ปี 2012 – 2017 นั้นถือว่าทำออกมาได้ไม่ดีมากๆ นี่คือเสปครถที่คุณ Scott ไปสัมภาษณ์ว่าทำไมคนถึงเลิกใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันนะครับ
รถยนต์ไฟฟ้า Fiat 500e ปี 2015
- แบต : 24 kWh
- Range (ระยะทางที่วิ่งได้) : 120 km หรือ 87 ไมล์
- ชาร์จไฟ 110 Volt เต็มภายใน 24 ชั่วโมง, ไฟ 220 Volt เต็มภายใน 4 ชั่วโมง
- ราคา : $33,000 หรือ 1 ล้านบาท
ที่มา : electrek, Nature Energy
Scott Hardman เป็นนักวิจัย Fuel Cell มาก่อน
นักวิจัย Scott Hardman เป็นเสาเอกในการเขียนงานวิจัยนี้และเป็นนักวิจัยรถยนต์ Fuel cell ครับ นี่คือรูปถ่ายเค้าคู่กับงาน research Fuel cell ครับ
ในปัจจุบันนั้น แกเพิ่งกลับลำหันมาเชียร์รถยนต์ไฟฟ้าโดยบอกว่าต้องมีสถานีชาร์จมากขึ้นในอเมริกาครับ
BLINK DRIVE TAKE
สิ่งที่ทำให้เค้าสามารถดึงความสนใจจากคนอ่านก็คือเอาข้อมูลเมื่อ 3 ปีที่แล้วมาโชว์ จากนั้นตบปิดท้ายว่า สหรัฐควรจะสร้างสถานีชาร์จมากยิ่งขึ้น
เอาจริงๆ นะครับ fiat 500e ชาร์จครั้งนึงวิ่งได้ 120 km ต่อให้ผมมีที่ชาร์จ level 2 ที่บ้านก็ไม่กล้าซื้อมาขับเลยครับเพราะระยะทางที่ให้มานั้นสั้นมากๆ แถมตอนคุณ Scott ไปหาข้อมูลนั้นเจาะจงคนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ซื้อรถมาเพราะความชอบไม่ได้ศึกษาเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าอะไรเลยครับ ทำให้ผมมองว่า Research อันนี้ค่อนข้าง Bias มากๆ
เหมือนไปทำ Research ว่าคนอเมริกาเกลียด Android phone หรือมือถือแอนดรอยและกลับไปใช้ Nokia แต่พอเราไปดู research paper จริงๆ ปรากฏว่าไปสัมภาษณ์คนจนที่ใช้มือถือ Android เครื่องล่ะ 3,000 – 5,000 บาททั้งนั้นประมาณนี้ครับ
อย่างไรก็ตามคุณ Scott นั้นโจมตีคนใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในตอนแรกว่ากลับไปใช้รถยนต์น้ำมันแต่ปิดท้ายด้วยว่า สหรัฐต้องอุดรูรั่ว(เรื่องสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มตามคอนโดและที่สาธารณะ)ครั้งนี้เพื่อให้ประเทศสหรัฐอเมริกากลับมาเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า (ดูหล่อขึ้นมาเลยทีเดียว)
จริงๆ แล้ว งานวิจัยมันจะออกมาหน้าตาแบบไหนก็ได้ครับ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องเสพข้อมูลอย่างมีเหตุและผล พร้อมกับเข้าไปตรวจสอบที่มาที่ไปของข่าว(citation) ต่างๆ ว่าเค้าเขียนแปลมาจากใครหรือข้อมูลเชิงลึกได้มาจากไหนครับ ผมอยากฝากเอาไว้แค่นี้จริงๆ