Blink Blink
TeslaUSA

อะไรที่เป็นปัจจัยให้คนอเมริกาไม่เลือกใช้ TESLA ??

สวัสดีครับ วันนี้เป็นบทความชวนคุยของ Blink Drive นะครับ บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ในอเมริกาล้วนๆ ดังนั้นถ้ามีข้อมูลไหนผิดพลาดไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ทุกท่านสามารถ comment กันเข้ามาใต้โพสเพื่อให้ผมปรับปรุงบทความนี้ให้กระชับและมีเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาได้นะครับ

สมาชิกเพจถามผมมาว่า ถ้าตัดเรื่องราคา(รถแพง)ออกไป อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนอเมริกา ไม่ซื้อ TESLA ครับ (ทั้งมือ 1 และ 2 ) ?

เป็นคำถามที่ดีครับ แม้กระทั่งผมก็ยังไม่ได้ซื้อเทสล่ามาใช้ เพราะเหตุผลของผมคือ เงินครับ ฮ่าๆ ผมไม่มีเงินที่จะซื้อ Tesla แต่ผมวางแผนเอาไว้แล้วว่าภายใน 3 ปีนี้จะถอย Tesla มาขับให้จงได้ครับ

ยังไงผมขอตอบจากทัศคติของผมที่อยู่กับคนอเมริกาที่นี่มานะครับ

1. การขายแบบ online


Tesla เป็นค่ายรถยนต์ค่ายเดียวที่มีการขายผ่าน online store โดยไม่มีหน้าร้านมายุ่งเกี่ยว ซึ่งคนอเมริกานั้นติดพฤติกรรมการซื้อรถแบบต้องไปที่ศูนย์เพื่อดูรถและก็ Test Drive ก่อนซื้อครับ

ส่วน Tesla นั้นจะออกแนว apple iphone ที่สั่งซื้อรถปุ๊บก็รออีก 2-3 อาทิตย์ ทำให้ผู้ซื้อไม่ได้รับความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการได้ดูรถก่อนซื้อหรือจะเป็นการ test drive รถคันที่กำลังจะซื้อครับ ทำให้ได้รับความสนใจเพียงคนที่อยากขับรถยนต์ไฟฟ้าแบบจริงจังเท่านั้น

ผมมองว่า คนยังไม่ชินกับระบบการขายแบบ online อย่าง Tesla ครับ แต่โควิดจะเป็นตัวเร่งให้ car dealership หรือตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หันไปใช้ online store กันมากขึ้นและสุดท้ายก็ต้องไปแข่งขันกันใน internet ครับ

2. ราคาค่าซ่อม

อย่างที่เคยเล่ากันเอาไว้ว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นชิ้นส่วนในการบำรุงรักษาแทบไม่มีเลย แต่ค่าซ่อมตัวถัง Tesla นั้นแพงกว่า Benz หรือ BMW ซะอีก


อย่างโครงรถบุบนิดหน่อยจากการโดนรถจักรยานขับชน แผลแค่นั้นล่อไปประมาณ $7,000 หรือ 210,000 บาท

ที่มา : Tesla Model 3 เป็นแผลแบบนี้, ค่าซ่อม(จากศูนย์บริการ)เท่าไหร่?


Tesla คิดค่าซ่อมตัวถังโหดมากๆและส่วนใหญ่ร้านซ่อมตัวถังทั่วไปจะซ่อม Tesla ไม่ได้
นอกจากจะได้รับการ certified จาก Tesla ครับเพราะว่าถ้าซ่อมตัวถังโดยไม่ได้รับการรับรองจากเทสล่าแล้วเทสล่ามารู้ทีหลัง เจ้าของรถต้องซ่อมหลังคาเองครับ

เคยมีกรณีคนเอารถ Tesla Model 3 ไปติดฟิล์มกรองแสงที่หลังคา(แก้ว)ปรากฏว่าหลังคาร้าวครับ Tesla ก็รับรถไปซ่อมปรากฏว่าเค้าตรวจพอว่า ฟิล์มกรองแสงบนหลังคาที่ผู้ใช้งานไปติดตั้งจากร้านติดฟิล์มทั่วไปนั้นทำให้กระจกหลังคาสะสมความร้อนมากกว่าปกติเลยทำให้กระจกแตกร้าวเป็นรอย

ที่มา : tint break the roof glass


โดยรวมคือการซ่อมแซมตัวถังของ Tesla นั้นแพงหูฉี่ครับ

ถ้าถามผมว่า ทำไมผมไม่ซื้อเทสล่า?(ในกรณีผมมีเงินเพียงพอนะครับ ตอนนี้ไม่มีครับ อาศัยเงินคุณพ่อ คุณแม่กินครับ ฮ่าๆ) หนึ่งในเหตุผลก็คือเรื่องการซ่อมตัวถัง เพราะบางทีเราจอดรถดีๆ ดังมีรถมาชนเรา

แค่มันชนท้ายเราด้วยความเร็ว 40-50 km/hกันชนบุบเข้าไปโดนโครงรถหน่อยๆ
แผลแค่นั้นก็ totaled (หมายความว่า ประกันจะตีค่าซ่อมแพงกว่าซื้อรถใหม่)เลยครับ
ถ้า totaled ขึ้นมากับแผลแบบนั้นผมคงเสียใจน่าดู

วิดีโอ : คนขับมาชนรถผมที่ไฟแดง : ประกันตีค่าซ่อมรถผมมา $11,000 หรือมากกว่าราคารถ Toyota prius 2010 ของผม ดังนั้นเค้าเขียนเชคซื้อรถผมไปเลยครับ(ประมาณ $7,000 – $8,000)
แผลค่านี้แต่ประกันตีราคาค่าซ่อมมา $11,000 หรือ 330,000 บาท (แม่เจ้า) รถผม totaled ไปเลย

นี่แค่รถยนต์น้ำมัน Toyota Prius ปี 2010 นะครับ

ส่วน Tesla Model 3 นั้น ถ้าชนแบบผมนี้ค่าซ่อมไม่ต่ำกว่า $36,000 หรือ 1,080,000 บาทครับหรือจะเรียกได้ว่าค่าซ่อมตัวถังราคาเท่ารถใหม่ไปเลยครับ อย่างรูปด้านล่างนี้ คิดซ่อมประมาณ $36,000 หรือ 1.08 ล้านบาท – tflcar

3. การประกอบตัวถัง

ถ้าคนที่มีเงินซื้อรถยนต์ระดับเดียวกันกับ Tesla ได้ก็คือพวกที่เล็ง Benz, BMW และ Porsche เอาไว้และเค้าต้องการความเนียบของตัวถัง โดยไม่ได้คำนึงถึงระบบขับเคลื่อนว่าจะต้องเป็นน้ำมันหรือไฟฟ้า

Tesla จะเป็น choice แรกที่เค้าตัดออกเลยครับ เพราะการประกอบตัวถังของ Tesla นั้นเลวเข้าขั้นนรกอเวจีจริงๆ เบี้ยวเกือบทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นรุ่น performance หรือ long range เพราะคนที่ประกอบนั้นฝีมือไม่ถึงจริงๆครับ

ที่มารีวิว Tesla Model Y ของคุณโต๋(คนไทยต่างแดน) แบบปวดใจสุดๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีแหล่งข่าวหลายที่แจ้งว่า Tesla รุ่น MIC (Made In China)นั้นมีความเนียบเทียบเท่ารถยุโรปไปแล้วครับ ต้องยกความดีให้แก่ทีมงาน Tesla ฝั่งจีนที่ QC หนักมากๆครับ

นี่คือ ภาพถ่ายจาก cyfoxcat ที่เค้าอ้างว่าเป็นเครื่องหมายยืนยันว่า การประกอบตัวถังจากโรงงานของจีนนั้นเหนือกว่าการประกอบตัวถังจากฝั่งอเมริกา

นาย Ray4Tesla ซึ่งเป็นนักรีวิวรถยนต์ของจีน(สำนักข่าว Tencent Auto) ซึ่งปัจจุบันตัวแกก็ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 (ตัวนำเข้า)มาใช้งานอยู่แล้ว แต่พอแกได้มาขับรุ่นที่ “ผลิตจีน” แกบอกได้เลยว่า คุณภาพนั้นคับแก้วอย่างมาก , นุ่นกว่า, เร็วกว่า, เสียงรบกวนน้อยกว่า รุ่นปัจจุบัน(นำเข้าจากอเมริกา)ที่แกใช้งานอยู่ครับ

ที่มา : จีนผลิต Tesla Model 3 ได้แล้วนะ

4. สถานีชาร์จ

เอาจริงๆ ตอนผมซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้นั้น บ้านผมไม่สามารถต่อปลั๊ก 220 volt เพื่อชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าได้ครับ ผมสามารถชาร์จไฟได้จากกระแสไฟเพียง 110 volt เท่านั้น และคนอเมริกาส่วนใหญ่ก็เป็นแบบผมคืออยู่ apartment ที่ไม่มีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้เค้าตัด choice นี้ออกจากสมการไปเลย ยิ่งถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนหาเช้า กินค่ำ มีตารางการทำงานเหมือนๆ กันทุกวัน ยิ่งไม่มีเวลาเอารถไปจอดชาร์จไฟเลยครับ

ต้องยอมรับจริงๆว่า apartment (หอพัก)ในอเมริกาที่มีอายุมากกว่า 3 ปีนี้ไม่ได้ออกแบบให้มีสถานีชาร์จไฟในแบบก่อสร้าง ทำให้ผู้อยุ่อาศัยไม่มีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเวลาขับกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ครับ

ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นพนักงาน office ที่มี routine (เส้นทาง)การทำงานแบบตายตัวคือทำงาน 9 โมงเช้า , เลิกงาน 5 โมงเย็น และไปสังสรรค์กับเพื่อนถึง 4 ทุ่ม คุณจะเอาเวลาที่ไหนมาชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ถ้าอพาร์ทเม้นท์ของคุณไม่มีสถานีชาร์จไฟเหล่านี้แถมมาให้

ดังนั้นคนที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้โดยไม่ติดขัดได้ก็จะเป็นพวกที่มีบ้านอยู่หรือไม่ก็เช่าอพาร์ทเม้นท์แบบใหม่ซึ่งอพาร์ทเม้นท์ที่สร้างหลังปี 2019 เป็นต้นไปก็จะมีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามาให้เหมือนที่ผมเอาไปชาร์จทุก ๆ 2-3 วันนี่แหละครับ

ตอนผมซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้นั้นเหมือนกับการก้าวออกจาก comfort zone เลยครับ เพราะเพื่อนๆ, รุ่นพี่, แม้กระทั่งพ่อแม่ผม ยังไม่สนับสนุนเลย เค้าบอกว่าจะชาร์จที่ไหนและจะชาร์จยังไง

แต่ผมก็ใช้ลูกบ้าหาที่ชาร์จให้จงได้ ผมก็ได้ไปเจอที่ชาร์จตรงอพาร์ทเม้นท์แถวบ้านเดินไปประมาณ 10 นาที

ปล. ตั้งแต่ผมซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Chevy Bolt มานี้ยังไม่ได้เสียเงินค่าไฟซักบาทเลยครับใช้งานไป 3,700 km ภายใน 70 วันกว่าๆแล้ว

คืนนี้ Mcdonald ล่ะกัน Chevy Bolt ตั้งแต่ซื้อได้ 1 เดือนกับอีก 10 วันมาขับไป 3,700 km แล้ว ใครสนใจข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ ก็สามารถถามมาได้เลยครับ ถ้าตอบไม่ได้จะชิ่งนะครับ 555

Posted by Blink Drive on Wednesday, January 6, 2021

BLINK DRIVE TAKE

ตอนนี้ผมคิดได้แค่นี้แหละครับ

ถ้าให้โจทย์ผมมาว่า ทำไมถึงไม่ซื้อเทสล่า ถ้าไม่ติดเรื่องเงินจริงๆ(แบบว่ามีเงินระดับซื้อ Tesla ได้แล้ว)

ปัจจัยหลักคือเป็นข้อ 2-4 แหละครับ ที่เหลือเป็นปัจจัยรองเพราะคนยังไม่ชินกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นคนฐานะปานกลางที่นี่(รวมถึงผมด้วย)ที่ยังไม่เคยใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาก่อนในชีวิต ส่วนใหญ่จะไปเล่นพวก Nissan Leaf ,Chevrolet Volt(Plug-in Hybrid) หรือ Chevrolet Bolt(รถยนต์ไฟฟ้า 100 %) กันก่อนครับ หลักๆ คือราคาไม่แพง ถ้าไม่ดีจริง ยังถอยกลับมารถยนต์น้ำมันโดยไม่เจ็บตัวมาก

อย่างคุณโต๋ก็ใช้ Nissan Leaf มาก่อนเพื่อศึกษาระบบรถยนต์ไฟฟ้าว่าถ้าเอามาใช้งานจริงกับชีวิตประจำวันจะไหวไหม สุดท้ายเค้าก็ถาม Tesla Model 3, Tesla Model Y ทั้งคู่เลยครับ

ผมก็เช่นกัน ผมนั้นชอบ Tesla เป็นที่สุด แต่ว่าทรัพย์จางครับ เลยถอยมาได้แค่ Chevrolet Bolt ซึ่งอยากมาเรียนรู้ระบบไฟฟ้าจากคันนี้ก่อนกระโดดไปเล่นรุ่นใหญ่แบบ Model 3 ครับ

การเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์น้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า มันเหมือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมือถือไปตลอดกาลจากโนเกียที่ชาร์จอาทิตย์ล่ะครั้ง แบบว่านั่งเครื่องไปทำธุระเชียงใหม่ 3 วัน กลับมา กทม. วันที่ 4 แบตมือถือยังเหลือเลย

แต่ถ้าเป็น iphone แบตน่าจะหมดตั้งแต่สนามบินดอนเมืองแล้วล่ะครับ ดังนั้นพฤติกรรมการใช้งานก็เปลี่ยนไปเยอะเลย

แหล่งพลังงานรถยนต์น้ำมันกับรถยนต์ไฟฟ้านั้นต่างกันแค่ราคาและเวลาครับ ไฟฟ้านั้นถูกแต่ใช้เวลานาน คนยังไม่ชินกับมันเพราะทั้งชีวิตเราเกิดมาใช้แต่รถยนต์น้ำมัน เติมง่าย 5 นาทีก็เติมถังแล้ว ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ชาร์จไฟผ่าน AC ซึ่งใช้เวลา 6-8 ชั่วโมงนู่น

ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นช่วงแรกที่ย้ายมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังไม่ชินกับมันอยู่ 5-6 วัน โดยผมจะบอกแฟนว่าจะขอใช้รถแฟนในวันที่ต้องไปชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือแบตหมดระหว่างวันนะ แต่ปรากฏว่าตั้งแต่ซื้อมา (70 วันแล้ว) ยังไม่เคยยืมรถแฟนไปใช้เพราะรถผมแบตหมดระหว่างวันเลย

เพราะเวลาผมออกจากบ้านแต่ล่ะครั้งผมจะคำนวณว่าจะใช้รถกี่ km ซึ่งทำให้ผมวางแผนล่วงหน้าว่าจะชาร์จรถตอนไหน ซึ่งเปรียบเทียบกับการใช้มือถือโนเกียกับไอโฟน ถ้าคุณใช้โนเกีย คุณแทบไม่ต้องพกที่ชาร์จลงไปในกระเป๋าเดินทางหรือกระเป๋าสะพายเลย แต่ถ้าคุณใช้ smart phone เมื่อไหร่ คุณจำเป็นต้องพกที่ชาร์จมือถือหรือไม่ก็ power bank ติดตัวไปด้วยใช่ไหมครับ เอาง่ายๆ ว่าถ้าคุณวางแผนไปเดทกับสาวที่สยามและจะไปต่อกันที่ทองหล่อคืนนั้น ร้อยทั้งร้อยคุณต้องพกสายชาร์จมือถือติดรถไปอย่างแน่นอน

การใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็เหมือนการเปลี่ยนจากมือถือโนเกียมาเป็น smart phone ครับ ช่วงแรกอาจจะทำแบตหมดระหว่างวันเป็นธรรมดา แต่พอใช้รถยนต์ไฟฟ้าไปเรื่อยๆ คุณจะเป็นคนวางแผนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่รู้ตัวเลย

ตอนนี้ผมแทบไม่ต้องห่วงเรื่องแบตหมดระหว่างทางเลยเพราะผมจะวางแผนชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเผื่อเอาไว้ตลอด

ปล. ผมเพียงยกตัวอย่างนะครับ แต่ผมมองว่าสุดท้ายคนก็ต้องหันไปเล่นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งประเทศอยู่ดี ต้านไม่ไหวจริงๆครับ เหมือนเหตุการณ์ตอนไอโฟนออกมาใหม่ๆ แล้วคนยังไม่คุ้นชินกับการชาร์จมือถือทุกคืนแหละครับ เพราะการใช้งานโดยรวมนั้นประหยัดกว่า, ฟีเจอร์เยอะกว่า, และประสิทธิภาพดีกว่า

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email