Blink Blink
NewsreportReport

รายงานยอดขายรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน(ทั้งโลก) ณ ปี 2562

อ้างอิงจากข้อมูลEV Sales Blog ยอดขายรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนหรือ fuel cell ของทั้งโลกนั้นในปี 2562 อยู่ที่ 7,600 คัน!!ครับถ้าเทียบกับปีที่แล้ว(2561)ก็มากกว่าอยู่ 90 % ครับ เอาะล่ะครับ เดี๋ยวเรามาเจาะลึกกันซักหน่อยว่าอะไรเป็นปัจจัยทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนนั้นเติบโตถึง 90 % ในปี 2562 ครับ

ยอดขายรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนของทั้งโลกนั้นมีสัดส่วนแบ่งออกเป็นหน้าตาดังนี้ครับ

  1. Hyundai NEXO ขายได้ 4,818 คัน
  2. Toyota Mirai ขายได้ 2,407 คัน
  3. Honda Clarity Fuel Cell ขายได้ 349 คัน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนกลับมาคึกคักก็มาจากการสนับสนุนจากทางภาครัฐของเกาหลีใต้ครับ โดยยอดขายของ Hyundai NEXO ที่ขายได้ 4,818 คันนั้น 87 % เป็นยอดขายภายในประเทศเกาหลีใต้เพียงประเทศเดียวครับ ส่วน Mirai ที่ทำยอดขายได้ 2,407 คันซึ่งมากกว่าปีที่แล้วเพียง 200 คันนั้นถือว่าน่าผิดหวังมากๆครับกับยอดขายจากบริษัทผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของโลกแบบนี้

ที่มา : insideev

FCV ทำงานอย่างไร?

FCV ย่อมาจาก Fuel Cell Vehicle หรือรถยนต์พลังงาน Fuel cell ที่ใช้ Hydrogen เป็นแหล่งพลังงานหลักน่ะครับ

โดยรถประเภทนี้จะมีแผง Fuel cell เอาไว้แปลงก๊าซไฮโดรเจนที่อยู่ในถังมาผนวกกับก๊าซอ๊อกซิเจนที่ลอยอยู่ในอากาศจากนั้นก็ทำการผสมธาตุจนกลายออกมาเป็น H2O หรือน้ำนี่แหละครับ การเปลี่ยนธาตุนี้จะทำให้ได้ประจุพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้งาน โดยพลังงานไฟฟ้าเหล่านี้จะส่งตรงไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าของรถ, ระบบไฟต่างๆ ของรถ,และส่วนที่เหลือจะไปกักเก็บที่แบตเตอรี่ของรถครับ

แต่พอเอามาใช้งานจริงๆ นั้นกลับเกิดปัญหามากกว่ารถยนต์น้ำมัน(ICE Car)เสียอีก เดี๋ยว Blink Drive จะแจกแจงสาเหตุให้แบบพอประมาณน่ะครับ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นกระทู้รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนไปน่ะครับ

อะไรคืออุปสรรคของ FCV

ผมขออ้างอิงข้อมูลนี้จากเว็บ edmund น่ะครับ ซึ่งมีผู้ใช้งานจริงมารีวิวปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน Toyota Mirai ของตนครับ

https://www.edmunds.com/toyota/mirai/2018/consumer-reviews/?rating=1

ปัญหาอย่างแรกที่ผู้ผลิตเลี่ยงที่จะตอบคือค่าซ่อมบำรุงครับ แผง Fuel cell นั้น sensitive กับฝุ่นละอองมากๆ ถ้าเกิดใช้งานไปแล้วมีฝุ่นเข้าไประหว่างแผงนั้นจะทำให้การแปลงประจุพลังงานไฟฟ้าตกลงอย่างมาก ดังนั้นผู้ผลิตก็เสนอว่า ทุกๆ 5,000 – 10,000 ไมล์(8,000 – 16,000 km) ผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฮโดนเจนต้องนำรถเข้าศูนย์เพื่อทำความสะอาดแผง Fuel Cell ครับ

อย่างผู้ใช้งาน Krishnan Srini ท่านนี้ได้บอกว่า ซื้อรถยนต์น้ำมันมาใช้งานทั่วไปไม่เคยเกิดปัญหาอะไรเลย แต่พอเราของ lease (เช่าระยะยาว)มาใช้งานปรากฏว่า เสียเงินซ่อมรถไป 120,000 บาท($3,000 – $4,000) เลยทีเดียว จริงๆ แล้วรถ lease นั้นเค้าจะไม่ให้เราซ่อมเครื่องยนต์หรืออะไรทั้งนั้นน่ะครับ ยกเว้นแต่ตัวถังรถที่รถขับไปเฉี่ยวชนมา(cosmetic damage : ความผิดของผู้ใช้งาน)เราจำเป็นต้องซ่อมเองครับ

มาเคสนี้ คุณ Krishnan ยั๊วเอามากๆ เพราะว่าเค้าขับรถ Mirai ซึ่งมันมีกระจังหน้ารถที่ใหญ่กว่ารถยนต์น้ำมันมากๆ เพราะรถคันนี้มันต้องดูดอากาศเข้าไปในแผง Fuel Cell เยอะๆเพื่อทำการแปรรูปอ๊อกซิเจน(อากาศจากนอกรถ)และไฮโดรเจนเป็นกระแสไฟฟ้า

คราวนี้ความซวยมาเกิดเพราะมีก้อนหินขนาดเล็ก(เล็กพอๆ กับก้อนกรวด) มันดันกระเด็นเข้าไประหว่างเค้าขับรถบน highway(ถนนหลวงที่ใช้ความเร็วสูง) ซึ่งมันดันไปโดน Coolant tank (หม้อน้ำรถ) ซึ่ง toyota ปฏิเสธที่จะซ่อมให้ฟรีครับ เพราะเค้ามองว่าเป็นความผิดของ User แต่เอาจริงๆ น่ะครับ ยังไม่มีรถยนต์น้ำมันคันไหนเจอปัญหาก้อนกรวดทะลุหม้อน้ำให้พวกเราเห็นเลยครับ ยิ่งอเมริกานั้นเป็นประเทศที่ customer right สูงมากๆ ถ้าเจอเคสแบบนี้ แถมอยู่ในประกันซะด้วย ส่วนใหญ่ ศูนย์จะเปลี่ยนให้ฟรีครับ แต่ศูนย์ปัดความรับผิดชอบเพราะเค้าบอกว่า การออกแบบรถคันนี้มันไม่เหมือนรถยนต์น้ำมันเสียทีเดียว แถมอะไหล่ก็ใช้งานแพงกว่าอย่างมาก ทำให้ศูนย์ไม่รับผิดชอบอะไรกับปัญหานี้เลยครับ

สุดท้ายคุณ Krishnan ต้องจ่ายค่าซ่อมประมาณ 100,000 – 120,000 บาท($3,000 – $4,000) เองทั้งหมดครับ

ปัญหาอย่างที่สองคือ หาปั้มเติมก๊าซยากมากๆ

รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนนั้นเหมือนรถยนต์น้ำมันครับ ยังต้องพึ่งปั้มไฮโดรเจนเพื่อหาเติมเชื้อเพลิง แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ชาร์จที่ไหนก็ได้ ชาร์จที่บ้านก็ได้, ชาร์จที่จอดรถหน้าห้างก็ได้, แถมสถานีชาร์จไฟในอเมริกาก็มีมากกว่า 30,000 แห่งไปเสียแล้วครับ

10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็นน่ะครับ ผม capture comment ของคุณ Ken Post ซึ่งมีรถพลังงานไฮโดรเจนเอาไว้ครอบครองเช่นกัน เค้ามีปัญหาเกี่ยวกับการเติมแก๊สไฮโดรเจนอย่างมาก อย่างที่รู้กันว่า Toyota ขายรถพร้อม credit ฟรีให้เติมแก๊สใช้กันฟรีๆ ถึง 3 ปีเต็มครับ แต่ปรากฏว่าปั้มแก๊สไฮโดรเจนในสหรัฐอเมริกานั้นมีเพียง 47 ปั้ม แถมคุณ Ken บอกว่าครึ่งนึงของปั้มเหล่านั้นไม่มีแก๊สไฮโดรเจนให้เติม โดยในทุกๆ วันที่เค้าจะเติมแก๊สไฮโดรเจนนั้น เค้าต้องโทรไปถามปั้มแต่ล่ะปั้มว่าวันนี้มีแก๊สเข้ามาไหม ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากมากเลยครับ หรือถ้าปั้มไหนมีแก๊สจริงๆ ก็จะมีรถเข้ามาต่อแถวยาวมากๆ เพื่อจอดรอเติมแก๊สกัน ซึ่งเค้าบอกอีกว่า โฆษณาของ toyota บอกว่า เติมเต็มถังวิ่งได้ 310 ไมล์หรือ 496 km แต่เอาจริงๆ ตั้งแต่คุณ Ken ซื้อมาใช้ยังไม่เคยวิ่งได้เกิน 210 ไมล์หรือ 336 km ต่อจำนวนแก๊สไฮโดนเจน 1 ถังเลยครับ แถมโปรเติมแก๊สฟรี 3 ปีนั้นคือตัวหลอกล่อชัดๆ เพราะหลัง 3 ปีไปแล้วคุณต้องแบกรับภาระค่าแก๊สไฮโดรเจนซึ่งราคา kg ล่ะ $16 หรือประมาณ 480 บาทเอาง่ายๆ ว่าถ้าเต็มเติมถังก็ตก $70 หรือ 2,100 บาทกับระยะทางที่วิ่งได้เพียง 336 km เท่านั้นเอง(ตกกิโลเมตรล่ะ 7 บาทครับ)

อีกคนนึงคือคุณตาม (เทพเจ้ารถยนต์ไฟฟ้า) ณ ประเทศนอร์เวย์ แกเคยขับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model X เพื่อไปรีวิวปั้มไฮโดรเจนปั้มนึงในประเทศนอร์เวย์ ปรากฏว่าแกยืนมา 30 นาทีไม่มีรถแวะมาเติมแก๊สซักคันเลย แถมแกยังบ่นอีกว่าค่าแก๊สไฮโดรเจนนั้นแพงกว่าน้ำมันเสียอีก

อย่างการเติมเชื้อเพลิงให้ได้ 5 kg นั้นต้องเสียเงินประมาณ 47 ยูโร หรือประมาณ 1,734 บาท วิ่งได้ประมาณ 500 km เท่านั้นเอง
หรือประมาณ 3 บาทต่อ 1 km ครับ

ในขณะที่รถยนต์น้ำมันบางรุ่นยังประหยัดกว่าเลย

ที่พีคกว่านั้นคือ หลังจากเค้ารีวิวสถานีนี้ได้ประมาณ 1 ปี สถานีนั้นก็เกิดระบบขึ้นครับ แรงระเบิดนั้นกระจายตัวเป็นวงกว้างกว่า 3 km ครับ รถที่อยู่บริเวณนั้นกระจกแตกเกือบทุกคัน รถบางคันที่วิ่งผ่านปั้มก็ถุงลมนิรภัยระเบิดเลยครับ เพราะเจอแรงกระแทกจากการระเบิดของปั้มไป รถมันคิดว่าชนอะไรซักอย่างครับ

BLINK DRIVE TAKE

นี่คือยอดขายทั้งโลกน่ะครับ รวมกันแล้วยังน้อยกว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพียง 3 วันเลยครับ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 แค่ 1 เดือนที่อเมริกาก็ปาไป 12,000 คันได้สบายๆ แล้วครับ

ผมมองว่าถ้าค่ายรถยนต์น้ำมันอยากสร้างรถเพื่อเอาชนะรถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ ต้องสร้างสถานีเติมไฮโดรเจนให้แพร่หลายก่อนน่ะครับ แต่ใครจะกล้ามาลงทุนครับเพราะการสร้างสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสถานีนึงให้ได้มาตราฐานนั้นจะเสียเงินประมาณ 2 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 60 ล้านบาทครับ นี่ยังไม่รวมค่าจ้างรถขนแก๊สไฮโดนเจนซื้อต้องเป็นรถที่มีถังขนแก๊สโดยเฉพาะเพราะว่าแก๊สไฮโดรเจนนั้นมีแรงดันมากกว่าแก๊สธรรมดาถึง 1,000 เท่าครับ

ผมจะเอาตารางให้ดูว่าแก๊สแต่ล่ะตัวนั้นใช้แรงดันที่เท่าไหร่ในการเก็บกันบ้าง

  • ถังแก๊ส LPG จะมีแรงดันของก๊าซประมาณ 100-130 PSI
  • ถังแก๊ส NGV จะมีแรงดันของก๊าซประมาณ 2,200 – 2,800 PSI
  • ถังแก๊ส Hydrogen จะมีแรงดันของก๊าซประมาณ 10,000 psi

ถ้าใครซื้อรถยนต์ไฮโดรเจนมาจอดข้างบ้านผม ผมคงคิดเรื่องย้ายบ้านหนีแหละครับ เพราะถ้ามันเกิดระเบิดเหมือนปั้มที่นอร์เวย์ขึ้นมา คนในบ้านผมคนแก้วหูแตกจากแรงอัดกระแทกของถังเหล่านี้กันพอดีครับ

จริงๆ ถ้าใครมีข้อมูลระบบ safty ของรถพลังงานไฮโดรเจนก็แชร์กันเข้ามาได้ที่่ Blink Drive Facebook fanpage น่ะครับ ลิงค์อยู่ตรงด้านล่างนี้แล้วครับ

ผมจะรวบรวมข้อมูลแล้วนำมาเขียนโพสใหม่ให้อ่านครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email