เป็นที่รู้กันว่าการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินและน้ำมันนั้นสร้างมลพิษมากถึง 176 เท่าจากการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อน(hydro) อย่างไรก็ตามผมมีตารางให้ดูด้านล่างนี้ว่า การผลิตไฟฟ้าจากแต่ล่ะที่นั้นปล่อยมลพิษเยอะแค่ไหนกันบ้างนะครับ
พลังงาน | สัดส่วนการปล่อยมลพิษเทียบเท่ากับ พลังงานไฟฟ้าจาก hydro(เขื่อน) |
ถ่านหิน | 175.9 |
น้ำมัน | 175.9 |
แก๊ซธรรมชาติ | 87.9 |
พลังงานความร้อนใต้พื้นพิภพ | 16.5 |
พลังงานแสงพระอาทิตย์ | 14.6 |
พลังงานนิวเครียร์ | 2.2 |
พลังงานลม | 2.0 |
พลังงานน้ำ(เขื่อน) | 1 |
ตารางเปรียบเทียบการใช้งานพลังงานไฟฟ้าถ่านหินจาก 49 รัฐ ระหว่างปี 2008 ถึงปี 2018
Rank | 2008 | 2008 | 2018 | 2018 |
ตำแหน่ง | รัฐ | % การใช้งาน ถ่านหิน | รัฐ | % การใช้งาน ถ่านหิน |
1 | เวส เวอร์จิเนีย | 98 | ไวโอมิ่ง | 96 |
2 | เคนตั๊กกี้ | 96 | เวส เวอร์จิเนีย | 92 |
3 | อินเดียน่า | 94 | เคนตั๊กกี้ | 75 |
4 | ไวโอมิ่ง | 94 | มิสซูรี่ | 73 |
5 | นอร์ท ดาโกต้า | 92 | อินเดียน่า | 67 |
6 | โอไฮโอ้ | 86 | นอร์ท ดาโกต้า | 66 |
7 | ยูธาร์ | 82 | ยูธาร์ | 65 |
8 | มิสซูรี่ | 81 | เนบาสก้า | 63 |
9 | ไอโอว่า | 77 | มอนทาน่า | 50 |
10 | นิว แม๊กซิโก | 73 | วิสคอนซิน | 50 |
สังเกตุการตารางด้านบนนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าแต่ละรัฐนั้นลดการใช้งานถ่านหินลงไปอย่างมาก ยกตัวอย่าง เวส เวอร์จิเนียเคยพึ่งพาไฟฟ้าถ่านหินจากการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ 98% แต่ลดลงมาเหลือเพียง 92 % นั่นมันยังไม่ค่อยแตกต่างนะครับ แต่ถ้าดูรัฐเคนตั๊กกี้นั้นลดการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินได้มากถึง 21 % เลย(จาก 96 % ไปเป็น 75%)ภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนรัฐไวโอมิ่งนั้นเพิ่มการใช้งานไฟฟ้าจากถ่านหินมา 2% (จาก 94 % เป็น 96%)
แต่ถ้าดูภาพรวมทั้งหมดแล้วคุณจะเห็นได้ว่า อันดับ 10 ในปี 2008 นั้นอยู่ที่ 73 % แต่อันดับ 10 ในปี 2018 นั้นลดลงเหลือเพียง 50 % เท่านั้น
ทั้งนี้เพราะมีการขยายโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเครียร์และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มากยิ่งขึ้นในอเมริกานะครับ
ที่มา : Greencar Congress
BLINK DRIVE TAKE
รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าที่สะอาดมากยิ่งขึ้น
ผมขอยกตัวอย่างเป็นรัฐนะครับ จะได้เข้าใจความหมายของพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น
อ้างอิงจากภาพด้านบน(พายกราฟแสดงแหล่งพลังงานไฟฟ้าจากที่ต่างๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย) จะเห็นได้ว่ามีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแก๊สธรรมชาติมากถึง 43 % ของการบริโภคพลังงานทั้งหมด โดยสมมุติง่ายๆ นะครับว่า รถยนต์ไฟฟ้าเหล่านั้นต้องพึ่งพลังงานไฟฟ้าจากแก๊สธรรมชาติแล้วกันเนอะ
การผลิตพลังงานจากแก๊สธรรมชาตินั้นจะปล่อยคาร์บอนหรือเรียกว่า Co2 อยู่ที่ราวๆ 0.2 kg หรือ 2 ขีดต่อไฟฟ้า 1 หน่วย
ส่วนการการผลิตพลังงานจากถ่านหินจะปล่อยคาร์บอนหรือเรียกว่า Co2 อยู่ที่ราวๆ 0.34 kg หรือ 3.4 ขีดต่อไฟฟ้า 1 หน่วย
เอาล่ะ คราวนี้คิดเล่นๆ ดูนะครับว่า ให้รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งไปเป็นระยะทาง 20,000 km จะปล่อยคาร์บอนกันเท่าไหร่(ผมขอเอาค่าเฉลี่ยคร่าวๆของคนไทยที่ขับรถกันมาใช้นะครับ ประมาณ 20,000 km ต่อปีนี่กำลังดีเลยใช่ไหมครับ)
ผมมีสูตรมาให้คำนวณครับ อ้างอิงจากภาพด้านบนนี้ คุณจะเห็นว่ารถรุ่นต่างๆ ใช้ไฟฟ้าต่อการวิ่ง 100 ไมล์หรือ 160 km ดังนี้
- Hyundai Ioniq ใช้ไฟที่ 25 kWh ต่อระยะทาง 160 km
- Tesla Model 3 รุ่น Long Range(ขับ 4) ใช้ไฟที่ 27 kWh ต่อระยะทาง 160 km
- Cheverolet Bolt ใช้ไฟที่ 28 kWh ต่อระยะทาง 160 km
- Tesla Model S 100D AWD(ขับสี่) ใช้ไฟที่ 33 kWh ต่อระยะทาง 160 km
เอาละ หลังจากเราได้ค่า kWh ต่อ km มาแล้วก็จัดการคำนวณออกมาเป็นสัดส่วน kWh : km กันดีกว่าเนอะ
- Hyundai Ioniq ใช้ไฟที่ 1 kWh ต่อระยะทาง 6.4 km
- Tesla Model 3 รุ่น Long Range(ขับ 4) ใช้ไฟที่ 1 kWh ต่อระยะทาง 5.92 km
- Cheverolet Bolt ใช้ไฟที่ 1 kWh ต่อระยะทาง 5.7 km
- Tesla Model S 100D AWD(ขับสี่) ใช้ไฟที่ 1 kWh ต่อระยะทาง 4.8 km
หมายเหตุ : 1 kWh เทียบเท่าไฟบ้าน 1 หน่วยครับ
คราวนี้มาคำนวณกันหน่อยไหมครับว่า ระยะทาง 20,000 km นั้นจะใช้ไฟกันกี่หน่วย
- Hyundai Ioniq ใช้ไฟที่ 3,125 หน่วย
- Tesla Model 3 รุ่น Long Range(ขับ 4) ใช้ไฟที่ 3,378 หน่วย
- Cheverolet Bolt ใช้ไฟที่ 3,508 หน่วย
- Tesla Model S 100D AWD(ขับสี่) ใช้ไฟที่ 4,166 หน่วย
เอาจริงๆ ไหมครับ แค่เอาค่าไฟหน่วยเหล่านี้มาคูณเงินบาทดูก็รู้แล้วว่าประหยัดแค่ไหน ลองยกตัวอย่างให้ดูง่ายๆ นะครับ Tesla Model S 100D ตัว Top ที่มีอัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 4 วินาทีนั้นกินไฟไปประมาณ 16,666 บาท(ค่าไฟหน่วยล่ะ 4 บาท)จากการใช้งานมากถึง 20,000 km ครับ
แต่ว่าเรามาคำนวณหา Co2/km กันดีกว่าเนอะ เริ่มด้วย
การผลิตพลังงานจากแก๊สธรรมชาตินั้นจะปล่อยคาร์บอนหรือเรียกว่า Co2 อยู่ที่ราวๆ 0.2 kg หรือ 2 ขีดต่อไฟฟ้า 1 หน่วย
- Hyundai Ioniq ผลิตคาร์บอนออกมา 0.030 kg ต่อการวิ่ง 1 km
- Tesla Model 3 รุ่น Long Range ผลิตคาร์บอนออกมา 0.033 kg ต่อการวิ่ง 1 km
- Cheverolet Bolt ผลิตคาร์บอนออกมา 0.035 kg ต่อการวิ่ง 1 km
- Tesla Model S 100D AWD(ขับสี่) ผลิตคาร์บอนออกมา 0.041 kg ต่อการวิ่ง 1 km
ส่วนการการผลิตพลังงานจากถ่านหินจะปล่อยคาร์บอนหรือเรียกว่า Co2 อยู่ที่ราวๆ 0.34 kg หรือ 3.4 ขีดต่อไฟฟ้า 1 หน่วย
- Hyundai Ioniq ผลิตคาร์บอนออกมา 0.053 kg ต่อการวิ่ง 1 km
- Tesla Model 3 รุ่น Long Range(ขับ 4) ผลิตคาร์บอนออกมา 0.057 kg ต่อการวิ่ง 1 km
- Cheverolet Bolt ผลิตคาร์บอนออกมา 0.059 kg ต่อการวิ่ง 1 km
- Tesla Model S 100D AWD(ขับสี่) ผลิตคาร์บอนออกมา 0.070 kg ต่อการวิ่ง 1 km
โหน้อยมากๆ เพื่อให้ทุกท่านไม่งงไปกว่านี้นะครับ ผมจะหยิบเอารถที่กินไฟมากที่สุดมาเปรียบเทียบกันนะครับ นั่นก็คือ Tesla Model S ครับ โดยโจทย์ก็ง่ายๆ เหมือนเดิมคือเอารถมาวิ่งทดสอบ 20,000 km กันครับ
ถ้า Tesla Model S ใช้ไฟจากก๊าซธรรมชาตินั้นจะผลิตคาร์บอนออกมา 820 kg
ถ้า Tesla Model S ใช้ไฟจากถ่านหินนั้นจะผลิตคาร์บอนออกมา 1,400 kg
เห้ย ต่างกันเยอะนะครับ ดูตัวเลขด้านบนนั้นอาจจะมองไม่ออกเยอะ แต่ถ้ามาคำนวณกันหลักหมื่น km แล้วก็เยอะนะครับ คราวนี้ใครที่พยายามเหลือเกินที่จะมาบอกผมว่า เห้ยรถยนต์ไฟฟ้ามันไม่ได้ใช้พลังงานสะอาดทั้งหมดนะเฟ้ย ผมก็บอกตรงนี้เลยครับว่า ต่อให้ใช้พลังงานไฟฟ้าสกปรกสุดๆ จากถ่านหินนั้นก็สะอาดกว่ารถยนต์น้ำมันที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ดีครับ
10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็นเอารถยนต์น้ำมันในตลาดมาชนกับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model S ที่กินไฟเยอะที่สุดในบรรดารถยนต์ไฟฟ้าที่ผมเอามาโชว์ดูหน่อยไหมครับ ผมขอเอา Toyota Camry ซึ่งเป็นรถตลาดที่มีขนาดเล็กกว่า Tesla Model S หน่อยๆ มาให้ดูนะครับ
Toyota Camry จะผลิตคาร์บอนออกมา 206 กรัมต่อ km
ซึ่งแปลว่าจะผลิตคาร์บอนออกมา 4,000 kg ต่อการใช้งาน 20,000 km ครับหรือมากกว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากพลังงานโคตรสกปรกที่สุด(ถ่านหิน)อยู่ประมาณ 2.85 เท่าและมากกว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากพลังงานแก๊สธรรมชาติมากถึง 4.87 เท่าครับ
ถ้าใครหน้าไหนบอกว่าใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ได้ช่วยสิ่งแวดล้อม ก็รบกวนแชร์หน้าโพสนี้ไปให้เค้าดูได้เลยนะครับ
แล้วถ้าเค้ามีปัญหาสงสัยอยากคุยสอบถามเรื่องสูตรการคำนวณก็ให้เค้าแวะมาคุยกับผมที่
BLINK DRIVE facebook
ได้ทุกเมื่อนะครับ
ปล. ผมไม่ได้มีปัญหากับผู้ใช้งานรถยนต์น้ำมันนะครับ แต่มีปัญหากับพวกที่ชอบว่าการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่สะอาดกว่าการใช้งานรถยนต์น้ำมันนะครับ