ไทยนี่ทึ่งไปเลยสิครับ เพราะฮุนไดนั้นเปิดตัว โคน่า(Kona) ที่ไทยเช่นกัน แต่รุ่นแบต 64.2 kWh นั้นเปิดตัวในราคา 2.25 ล้านบาท หรือแพงกว่า 2 เท่าตัวนะครับ ฮ่าๆ
ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกเอาไว้ก่อนว่า ราคาที่ผมกล่าวมาคือ 9.3 แสนบาท(216,300 หยวน) นี่ยังไม่ใช่ราคาที่ได้ส่วนลดจากรัฐบาลจีน(tax incentives)นะครับ พอโดนส่วนลดของรัฐบาลจีนเข้าไป ราคารถยนต์คันนี้จะลดลงไปเหลือเพียง 743,515 บาท (172,800 หยวน) ถ้าจีนได้ราคานี้ก็แปลว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่ไทยแพงกว่าจีน 3 เท่าตัวครับ(โคน่าที่ไทย ตัวแบต 64.2 kWh นั้นอยู่ที่ 2.25 ล้านบาท)
และแบบนี้ผมสามารถพูดได้เต็มปากแล้วครับว่า รถยนต์ไฟฟ้าถูกเท่ากับรถยนต์น้ำมัน เพียงแต่เหตุการณ์นี้มันไม่ได้เกิดขึ้นที่ไทยเท่านั้นเอง ผมเข้าใจครับว่า ประเทศเรานั้นมีรายได้หลักของอุตสาหกรรมมาจากการสร้างรถยนต์น้ำมัน ทำให้รัฐบาลไม่สามารถนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าได้ถูกเหมือนประเทศจีนนะครับ ผมเข้าใจจริงๆครับว่า ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่มีค่าครองชีพต่ำ และมีราคารถยนต์ไฟฟ้าแพงที่สุดในโลกครับ
ฮุนได Encino EV มาพร้อมสเปคเท่าไทย
ยังไม่มีใครรู้สาเหตุที่ฮุนไดเปลี่ยนชื่อรุ่นรถยนต์ของตนเองเพื่อนำเข้าประเทศจีนนะครับ แต่บอกได้เลยว่า spec ของรถยนต์ไฟฟ้าฮุนได Encino EV นั้นเหมือนกันกับ ฮุนไดโคน่า ทุกประการครับ แบตก็ให้มา 64.2 kWh ส่วนระยะทางที่วิ่งได้ก็ 500 km เห้ย นี่ก็เหมือนที่ผมเคยพูดเอาไว้ในเฟสบุ๊ค blink drive แล้วนิครับว่า รถยนต์ไฟฟ้า
ผมเอาเพจนี้เป็นเดิมพันเลยว่า รถยนต์ไฟฟ้าอีก 5 ปีข้างหน้านี้จะราคา 700,000 -900,000 บาท (ไม่รวมภาษีหน้าเลือดของประเทศพัฒนานะครับ)และวิ่งได้มากกว่า 400 km
โพส ใครบอกรถยนต์ไฟฟ้าราคาแพงบ้าง?
แถมชาร์จไฟเร็วภายใน 5 นาทีแน่นอนครับ
ถ้าไม่มีรถยนต์ไฟฟ้าคันไหนในโลก
ออกมาขายได้ตรงตามสเปคภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567
แจ้งมานะครับ
save โพสนี้เอาไว้แล้ว
ทักผมมาวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567
ผมจะทำการลบเพจเอง
ถือว่า ผมมาผิดทางและทำให้ทุกคนต้องเสียหายครับ
แต่ถ้ามันเป็นไปตามที่ผมพูด
พวกคุณชนะทุกคน
เพราะได้เก็งกำไร ถือเงินก้อนเพื่อซื้อรถยนตืไฟฟ้าราคาถูกยังไงล่ะครับ
นี่ยังไม่ถึง 1 เดือนที่ผมโพสเลยนะครับ กลับกลายเป็นว่า ประเทศจีนสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้มากกว่า 400 km แถมราคาเพียง 7.43 แสนบาท(หลังได้รับ tax incentive จากรัฐบาล)แล้ว เห้ย แบบนี้ผมก็ไม่ต้องลบเพจตัวเองแล้วสิ อิๆ (เหลือแค่เรื่องชาร์จเร็วภายใน 5 นาทีเนอะ รอก่อนๆ ผมขอเอาไว้ตั้ง 5 ปีแนะ ยังมีเวลาพัฒนาให้ผมลุ้นอยู่เนอะ
Tax Incentive คืออะไร
Tax Incentive หรือเรียกอีกอย่างว่า เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อพัฒนาเศษรฐิจหรือสิ่งแวดล้อม อันนี้ก็แล้วแต่นโยบายของแต่ล่ะประเทศว่า จะใช้ภาษีประชาชนนั้นไปพัฒนาส่วนไหนนะครับ ส่วนประเทศจีนและหลากหลายประเทศในยุโรปรวมไปถึงอเมริกานั้น นำเอาเงินภาษีที่เก็บได้นั้นมาทำเป็นส่วนลดให้กับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศครับ
ซึ่งอัตราส่วนลดของประเทศจีนนั้นแบ่งออกเป็นดังนี้
- รถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 400 kmต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จะได้รับส่วนลด 25,000 หยวน – 55,000 หยวน (100,000 – 236,000 บาท)
- รถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ 250 – 400 kmต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จะได้รับส่วนลด 18,000 หยวน – 55,000 หยวน (77,000 บาท)
- รถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ต่ำกว่า 250 kmต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จะไม่ได้รับส่วนลดนี้อีกแล้ว
- หมายเหตุ : ระบบ tax incentive นี้จะหมดอายุสิ้นปี 2020(2563)
ที่มา : volkswagenag
BLINK DRIVE TAKE
การจะนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของไทยนั้น ผมบอกเลยว่า ไม่อยากเห็นส่วนลดซักบาทจากรัฐบาลครับ แต่ผมขอให้รัฐบาลเลิกเก็บภาษีแบตก็พอ ขอแค่ให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศนั้นแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมากก็ 50 % ก็พอครับ ไม่ใช่นำเข้ามาเหมือนกับประเทศจีนแท้ๆ แต่ประเทศเค้าสามารถขายได้ถูกกว่าตั้งเท่าตัว แบบนี้ คนไทยเค้าหมดกำลังใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้พอดีครับ หรือก็อนุญาติให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าได้แล้ว
ประเทศอื่นๆ บนโลกเค้าแทบจะกราบให้ประชาชนไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้โดยสร้าง tax incentive ตัวนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนยังไงครับ แถมยังสร้าง ultra low emission zone (โซนปลอดรถยนต์ควันดำ)ขึ้นมาในเมืองเพื่อไม่ให้รถยนต์ดีเซลหรือรถยนต์น้ำมันรุ่นต่างๆ สามารถวิ่งในเมืองหลวงได้ ถ้าอยากวิ่งในเมืองหลวงแบบอิสระต้องไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้แทนครับ
แต่ประเทศกำลังพัฒนาดันสร้างภาษีแบตหน้าเลือดขวางทางรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่แบบนี้ ผมบอกเลยว่า ผมกลัวนะครับ ผมกลัวว่า ลูกหลานเราในอนาคตเติบโตมาจะอยู่ในสังคมที่ลำบากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า, ลาว, กัมพูชาครับ ประเทศที่ผมพูดมานี้ เค้าวางแผนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าได้ดีกว่าไทยซะอีก
ถ้าจะบอกว่า เศษรฐกิจไม่ดี แล้วถ้าเปลี่ยนไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอีก เจ้าของกิจการตายหมด ผมอยากบอกตรงนี้เลยว่า รถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์น้ำมันใช้ชิ้นส่วนรถเหมือนกันเกือบทุกประการ ยกเว้นเครื่องยนต์เท่านั้น ดังนั้น กิจการที่จะเจ๊งมีแค่เครื่องยนต์ครับ และผมคาดเดาได้ว่า กิจการผลิตเครื่องยนต์ในไทยนั้นมีคนงานไม่เกิน 200,000 คนครับ(ผมไม่แน่ใจเรื่องตัวเลขนี้นะครับ ยังไงใครมีข้อมูลส่งมาให้ผมหน่อย แต่ผมมั่นใจว่าไม่เกินแน่นอน) แต่นี่เรากำลังเดิมพันอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งประเทศที่มีคนงานมากกว่า 1 ล้านคน กับธุรกิจเครื่องยนต์น้ำมันที่มีคนงานไม่ถึง 200,000 คนแบบนี้ อารมณ์เหมือนว่า กิจการผลิตเครื่องยนต์กำลังดึงเพื่อนๆ ตายกันหมดนะครับ โรงงานทำเบาะรถยนต์ เค้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรเรื่องรถยนต์น้ำมันกับรถยนต์ไฟฟ้าเลย แต่ถ้าผู้ผลิตหนีไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเทศจีน รับรองว่า โรงงานผลิตเบาะก็ต้องเจ๊งตามครับ เพราะรถยนต์ผลิตประเทศจีน เหตุไฉนจะต้องมานำเข้าเบาะรถยนต์จากไทย โรงงานผลิตยางรถยนต์เอง, โรงงานผลิตตัวถังรถยนต์ด้วย, โรงงานผสมสีรถยนต์, โรงงานผลิตไฟหน้ารถ, โรงงานทำกระจกรถยนต์, และโรงงานอื่นๆที่ทำเกี่ยวกับอุปกรณ์ในรถยนต์ หรือแม้กระทั่งร้านขายรถยนต์(Car dealer) เองจะต้องมาตกงานเพียงเพราะวิสัยทัศน์ของคนแค่บางกลุ่มเหรอครับ ?
คนงานในไทยมากกว่า 1 ล้านคนต้องมาทนทุกข์ทรมานกับบริษัทผลิตเครื่องยนต์ที่ไม่ยอมให้บริษัทต่างๆ นำเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาผลิตในประเทศได้หรอครับ? อ่านข่าวด้านล่างหน่อยไหมครับ ฝรั่งเค้าเอาเทคโนโลยีจากต่างแดนมาถวายให้ถึงที่ แต่รัฐไม่ยอมอนุมัติแผนลงทุน EV
ถ้าคุณกำลังมองว่า เพจผมทำลายอุตสาหกรรมของประเทศชาติ พวกคุณคิดผิดแล้วมั้งครับ เพราะผมเพียงเอาเทคโนโลยีต่างประเทศมานำเสนอครับ ไม่ได้เอาเทคโนโลยีต่างดาวที่ไม่มีบนโลกมาเสนอแก่ผู้อ่านครับ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าก็เหมือนมือถือ smart phone ที่กำลังมา disrupt(ทำลาย) เทคโนโลยีเก่าแบบ nokia ครับ ต่อให้ผมไม่นำเสนอ ยังไงๆ ทิศทางของโลกใบนี้มันได้กำหนดเอาไว้แล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้ามาแทนที่รถยนต์น้ำมันแน่นอน แทนที่เราจะไปดักรอต้นน้ำกลับมาถ่วงเวลาและไม่ยอมนำเข้าเทคโนโลยีเหล่านี้มาให้คนไทยใช้กันหรอครับ?
ผมสงสารลูกหลานของเราที่จะต้องมารับกรรมจากบรรพบุรุษที่ตัดสินใจเพียงเพื่อให้พวกพ้องไม่กี่โรงงานได้อยู่ต่อ แล้วลูกหลานเราเติบโตมากับมะเร็งปอด หรือโรคทางเดินหายใจกันนะครับ
คราวนี้คำถามคือว่า คุณจะปล่อยให้บริษัทเพียงไม่กี่บริษัททำให้คนไทยตกงานกันหมดประเทศหรอครับ?