นาย Harald Krueger ซึ่งดำรงตำแหน่ง CEO บริษัท BMW มาได้ 4 ปี ได้ประกาศลาออก เพราะบริษัทผลิตรถยนต์ BMW ไม่ได้ขึ้นเป็นตัวท๊อปในหมวดหมู่รถหรูอีกแล้ว เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าให้ถูกใจลูกค้า ทำให้ลูกค้ารถหรูต่างๆ ในยุโรปและอเมริกาหันไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้แทนรถยนต์น้ำมันของบริษัทตนเอง
บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลนี้เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า นาย Krueger (อายุ 53 ปี) ไม่ได้รับการต่อสัญญาจากบริษัท BMW อีกเป็นต้นไป ซึ่งสัญญานี้จะหมดภายในเดือนเมษายน ปี 2563(2020) ผู้บริหารบอร์ดทุกคนจะทำการประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้งในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ว่า จะให้นาย Krueger อยู่ต่อหรือออกไปทันที
ฐานผลิตรถยนต์ BMW ที่เมือง มิวนิค ประเทศเยอรมันได้รับแรงกดดันและผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมจากรถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เหตุเพราะว่า จีนกับยุโรปได้กำหนดมาตราฐานemission (ปล่อยของเสีย เช่นควันดำ) ขึ้นมาใหม่ เพื่อเกียดกันการขายรถยนต์น้ำมันในประเทศต่างๆ ของตน ทำให้ BMW ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ได้มาตราฐานนั้นและยังมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ autonomous vehicles (ยานพาหนะไร้คนขับ) เพื่อแข่งกับ Uber และ Waymo(บริษัทยานพาหนะไร้คนขับของ google)
BMW เคยเป็นที่หนึ่งในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในปี 2013 ซึ่งตอนนั้น BMW เปิดตัว BMW i3 (รถยนต์ไฟฟ้า 4 ที่นัง ขนาดเดียวกับ Nissan Juke หรือ Honda BRV) เรียกว่า นำหน้า บริษัท Diamler(บริษัทแม่ของ Mercedes Benz) และ Volkswagen ไปอย่างขาดลอย
หลังจากนั้น BMW ก็หันหน้าไปพัฒนา plug-in hybrid แบบเต็มข้อ โดยไม่สนใจความต้องการของลูกค้าเลย คิดว่า ตัวเองเป็น monopoly (ผู้ค้าผูกขาด) ที่ไม่ว่าจะออกรถยนต์อะไรออกมา ลูกค้าก็ซื้อ และ BMW ก็ประมาทจริงๆ ที่ไม่ยอมไปพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าต่อ ปล่อยให้ Tesla ส่ง model 3 ออกเข้าสู่ตลาดในปี 2017 ซึ่งตอนนั้น BMW ยังไปเยาะเย้ย Tesla อยู่เลยว่า ไม่มีใครเค้าอยากใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องชาร์จไฟนานถึง 30 นาทีหรอก แต่พอปี 2018 ทุกอย่างได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทั้งหมด Tesla แก้ไขปัญหาเรื่อง production bottle neck (การผลิตคอขวด) ที่ supplier ส่งอะไหล่ให้ผลิตไม่ทันสำเร็จ ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่าฆ่า บริษัท BMW, Audi, Benz, Lexus, Acura, Cadilliac ตายหมดหน้ากระดานเลย
ถึงขนาดว่า (เป็นข่าวลับ) BMW สั่ง tesla model 3 2 คัน ส่งตรงไปยังฐานผลิตรถยนต์ของตนเองเมือง มิวนิค ประเทศเยอรมันเพื่อทำการชำแระดูเลยว่า ทำไมคนถึงเข้าไปสั่งซื้อกันเยอะขนาดนี้
ภายใต้การบริหารงานของ Krueger ระยะเวลา 4 ปีมานี้ BMW สูญเสียตำแหน่งผู้นำทางรถยนต์หรูไปให้แก่ บริษัท Diamler (บริษัทแม่ของ Mercedes-Benz) ต้นปีที่ผ่านมานี้ บริษัท BMW โดนปรับเงินไปมากกว่า 1.4 พันล้านยูโร(4.8 หมื่นล้านบาท) จากข้อหา anti-trust case
ที่มา : stuff
มาถึงบรรทัดนี้ Blink Drive ขอขยายความข้อหา anti-trust case ของ บริษัท BMW ซักหน่อยนะครับ ก่อนอื่นผมขอเอาความหมายของ anti trust law มาให้ทุกคนได้อ่านก่อนนะครับ
กฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust law )
กฎหมายต่อต้านการผูกขาดมักจะเรียกแตกต่างกันไปตามประเทศ แต่ความหมายเดียวกันคือกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันที่เป็นธรรม (Competition law) ในสหรัฐใช้ว่า United States antitrust law, คำว่า Trust แปลว่าความไว้วางใจ แต่เมื่อเราไม่ไว้วางใจผู้นั้นจึงต้องใช้คำว่า Antitrust ดังนั้นหากแปลตามตัวก็คือกฎหมายไม่ไว้วางใจ(ผู้ที่คิดจะผูกขาด )
ในสหภาพยุโรปใช้ว่า European Union competition law ในประเทศจีนและรัสเซียเรียกว่า Anti-monopoly law และก่อนหน้านั้นประเทศสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียเคยใช้ว่ากฎหมายว่าด้วยการปฏิบัติทางการค้า (Trade practices law)
หลักการของกฎหมายเหล่านี้คือ
1.จำกัดและห้ามพฤติกรรมการ”ฮั้ว”(collusive practices)โดยมุ่งถึงการตรึงการค้า (ซึ่ง BMW , Volkswagen, Diamlers โดนข้อหานี้ครับ)
2.จำกัดการรวบบริษัท (mergers and acquisitions of organizations )อันจะก่อให้เกิดการแข่งขันที่น้อยลง
3.ห้ามสร้างการผูกขาดและใช้อำนาจไปในทางผูกขาด
ที่มา : http://thaitribune.org/contents/detail/330?content_id=10909
BMW โดนตักเตือนเรื่อง Anti trust ซึ่งอาจจะโดนค่าปรับมากถึง 3.8 หมื่นล้านบาท
European Union ทำการตรวจสอบบริษัท BMW ที่ทำการสมรู้ร่วมคิดกับบริษัทอื่นๆในยุโรปเตะถ่วงไม่ให้นำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาขายในท้องตลาด
ข่าวนี้ดังไปทั่วยุโรปภายในข้ามคืน โดยใจความของข่าวคือว่า
องค์กร EU (European Union) ได้ทำการสอบสวน BMW , Volkswagen และ Diamler ทันที ในข้อหาที่พวกเค้าสมรู้ร่วมคิด โดย พยายามถ่วงเวลาในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้า(clean-emissions technology)ออกไป
เนื่องจาก EU ได้ไปสืบมาว่า บริษัทเหล่านี้ได้ทำข้อตกลงซึ่งกันและกันว่า จะพัฒนาแต่รถยนต์น้ำมันและดีเซลเท่านั้น ทำให้ EU โกรธเอามากๆ ที่บริษัทเหล่านี้จับมือกันและพยายามทำตัวเป็นพ่อค้าผูกขาดในทวีปยุโรป แต่ EU ก็ไม่ได้ใจร้ายไปเสียหมดครับ เค้าให้โอกาสบริษัทเหล่านี้ทำการโต้แย้ง EU ก่อนที่ EU จะทำ Final decision(สั่งปรับจริง)
การโต้แย้งนี้ก็ทำง่ายๆ คือ ทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาสู่ตลาด ก็จะถูกยกเลิกค่าปรับเรื่องสมรู้ร่วมคิด anti-trust(การค้าผูกขาดทันที)
องค์กร EU ได้กล่าวว่า “ผู้บริโภคชาวยุโรปอาจจะไม่อยากซื้อรถใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยี hi-tech สุดๆ ก็จริง , แต่พวกคุณก็ไม่ควรจะแอบสมรู้ร่วมคิดพัฒนาไปในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ(เช่น พยายามเตะถ่วงไม่สร้างรถยนต์ไฟฟ้าออกมา แต่พยายามไปพัฒนารถยนต์น้ำมันให้มีเทคโนโลยีเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้า เช่น auto-pilot หรือ auto-parking)” คนยุโรปจริงๆ ต้องการอากาศบริสุทธิ์ครับ ไม่ใช่เทคโนโลยีแฟนซี แบบรถเหาะได้แต่ยังใช้น้ำมันอยู่ครับ
เหตุการณ์ anti-trust นี้ ทำให้ Volkswagen ต้องเสียค่าปรับจาก การที่ VW สร้างรถดีเซลออกมาแล้วโกงค่า emission ให้ต่ำกว่ามาตราฐาน ทั้งๆ ที่รถของตัวเองปล่อยควันดำออกมาเกินว่า มาตราฐาน เคสนี้ Volkswagen จ่ายไปชิวๆ 1 หมื่นล้านยูโร หรือ 3.4 แสนล้านบาท
ส่วน Daimler ก็โดนเช่นกันคือ ถูกให้ recall รถยนต์ของตัวเอง 774,000 คันกลับมาแล้วทำการปรับปรุงระบบปล่อยของเสีย(ควัน) จากรถให้น้อยลง เคสนี้ยังไม่จบนะครับ ยังสู้กันอยุ่ในชั้นศาลและรถยนต์ทั้งเยอรมันและอเมริกาต้องถูกเรียกกลับไปติดตั้งระบบ emission ใหม่ทั้งหมด
ที่มา : Diamler เรียกรถยนต์ดีเซลคืน(recall) 774,000 คัน :
https://vaaju.com/swedeneng/daimler-recalls-774000-diesel-vehicles-in-europe/
ส่วน BMW นั้น โดนปรับไปแค่ 8.5 ล้านยูโร (294 ล้านบาท) จากการโดนตรวจสอบว่า บริษัทติดตั้ง software ให้โกงค่า emission (มลพิษ) ซึ่งบริษัทแจ้งว่า มันเป็นความผิดพลาดที่มาจากสายการผลิต
ที่มา : bloomberg
BLINK DRIVE TAKE
ตอนแรกผมคิดว่า บริษัท BMW จะกลายเป็น Kodak 2 ซะแล้ว ดีจริงๆ ที่ผู้บริหาร(Board member) ไหวตัวทัน ไล่ CEO ออกก่อน ไม่งั้นเค้าพาลงเหวแน่นอน เล่นออกมาพูดทุกวันว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีทางเกิดหรอก พูดเหมือน CEO Kodak เป๊ะเลย ซึ่งตอนนั้น CEO Kodak พูดว่า กล้อง digital มันเป็นของเล่นเด็กไม่มีทางเกิดภายใน 10 ปีหรอก เค้าประมาทความสามารถบริษัทผลิตกล้องไปเนอะ สุดท้ายบริษัทล้มละลายไม่เป็นท่าเลย ทุกวันนี้ Kodak กลับมาได้เพราะ ศาลยกเลิกคำสั่งล้มละลายนะครับ แล้วพี่แกก็หนีไปทำธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ฟิล์มกล้องแล้ว
ผมอยากจะบอกว่า หลังจาก mini cooper EV เปิดตัวปุ๊บ CEO บริษัท BMW ก็ประกาศจบการศึกษาทันที(ลาออก) โดยทิ้งทวนเอาไว้ว่า the “enormous changes” happening in the auto industry หรือแปลว่า มันจะเกิด “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ในอุตสาหกรรมรถยนต์ และเป็นที่รู้กันว่า BMW เตรียมตัวมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ที่มา : The Verge
เห้ย ถ้า BMW เตรียมตัวได้ไม่ดีนี่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วนะครับ เพราะเค้าเล่นสร้างรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 ในปี 2013 และพยายามพัฒนาไล่ เทสล่า มาตลอด แต่ประเด็นที่ผมสนใจคือ เทสล่า ก้าวกระโดดไวเกินไป ทั้งระบบ auto-pilot , software OTA(Over the Air) update เหมือน iphone, และแบบแปลงการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ทุกวันนี้ porsche กับ audi ยังตามไม่ทันเลย ว่า ทำไมแบตของ tesla model 3 ถึงสามารถถึกทน, หรือ มอเตอร์ของ tesla model 3 ถึงสามารถวิ่งได้ 1 ล้านไมล์(1.6ล้าน km) โดยไม่ต้องแกะมาซ่อมแซม
ผมกำลังบอกว่า ความรู้ที่ค่ายรถยนต์น้ำมันสะสมมาเป็น 100 ปีนั้นไม่มีความหมายในอุตสาหกรรมรถยนต์น้ำมันเลยครับ อารมณ์เหมือนทำกล้องฟิล์มมา 100 ปี แล้วจะให้มาทำกล้อง digital ก็ต้องมาเริ่มใหม่พร้อมๆ กับเด็กจบใหม่ครับ ที่สามารถเอา knowledge มาใช้งานได้มีไม่ถึง 30 % ของตัว product
ถ้าเป็นกล้องก็เอา know-how มาได้แค่ เลนส์เท่านั้น ชิ้นส่วนที่เหลือต้องมาสร้างใหม่ทั้งหมด (ไม่ว่าจะเป็นตัวรับภาพ, ที่ใส่การ์ด, และที่ชาร์จแบต)
ส่วนรถยนต์ , know-how ที่สามารถต่อยอดมาจากรถยนต์น้ำมันได้แทบไม่มีเลย ต้องออกแบบใหม่ทั้งคัน (มีแค่ช่วงล่าง, ล้อ, ระบบไฟรอบรถและตัวรถ เท่านั้นที่สามารถใช้ know-how เดิมได้)
ก่อนจากกัน ผมขอถามอะไรพวกคุณหน่อยนะครับ
คุณซื้อรถยนต์มาคันนึง คิดว่าจะเอามาใช้งานกี่ปีก่อนขายครับ?
3 ปี หรือ 10 ปี ถ้าคุณคิดว่า จะซื้อมา 3 ปีขับแล้วขายทิ้งเอาฮา เพราะเงินเหลือในบัญชีเยอะ ก็ซื้อรถยนต์น้ำมันมาใช้เถอะครับ เพราะอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้เลือกมากมายหลายรุ่นกว่านี้ แต่รถยนต์น้ำมันของคุณในวันนี้จะขายขาดทุนย่อยยับซึ่งถ้าบ้านคุณมีเงิน support เรื่องนี้ก็ซื้อเลยครับ
แต่ถ้าคุณวางแผนจะซื้อรถยนต์ซักคันที่สามารถใช้งานได้ 10-15 ปีโดยไม่งอแงแล้วล่ะก็ (ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนี้ด้วยครับ) ผมบอกได้เลยรอก่อนครับ ต้นปีหน้ามี surprise เยอะแยะมากมายจากประเทศจีนแน่นอน
เงินเป็นของคุณนะครับ ไม่มีใครขโมยอออกจากกระเป๋าตังค์คุณไปซื้อรถที่คุณไม่ต้องการขับมาให้คุณได้ แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องซื้อรถมาขับจริงๆ แบบว่า ถ้าได้รถมาขับวันๆ นึงคุณได้เงินมาใช้มากกว่า 2,000 บาท ก็ซื้อเถอะครับ แต่ถ้าซื้อมาเก็บหรือตั้งโชว์ โดยใช้งาน อาทิตย์ล่ะ 500-700 km แนะนำให้รอก่อนนะครับ ปีหน้าได้เจอของดีแน่นอน
สนทนากันต่อได้ที่ Blink Drive Facbook Fanpage