รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Royal Enfield Bullet รุ่น EV คันนี้ อยู่ที่ authorized Dealer ที่ประเทศไทยครับ ส่วนภาพนี้ผมได้มาจากเว็บ Maxabout
“เรากำลังพัฒนาแพลตฟอร์มไฟฟ้าเพื่อยกระดับของความเป็น Pure Motorcycle เอาไว้ เราคิดหาวิธีในการออกแบบแพลตฟอร์มปัจจุบันของเราสำหรับอนาคตซึ่งคุณคงต้องรอดูตอนนั้น อาจจะดีถ้าเราสามารถพัฒนารถจากแพลตฟอร์มเดิมได้ แค่ถ้าจำเป็นต้องสร้างใหม่เราก็จะสร้างใหม่” นี่เป็นคำพูดของ Global President นาย Rudratej Singh ที่ได้พูดเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของ Royal Enfield เมื่อปีที่แล้ว (ที่มา autospin)
เนื่องด้วย ประเทศอินเดีย(ซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่รถจักรยานยนต์ Royal Enfield ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้)ได้ประกาศนโยบายเรื่องมลพิษเอาไว้แล้วว่า จะทำการแบนรถยนต์น้ำมันทุกชนิดภายในปี 2030 ดังนั้น บริษัท Royal Enfield ก็ได้ต้องจำใจเปลี่ยนรถจักรยานยนต์สูบใหญ่ ท่อดังเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไร้ท่อ ไร้เสียง คงเหลือแต่ความแรงแหละครับ
ส่วนสาเหตุที่ผมเอารถคันนี้มาเขียนลงกระทู้แบบนี้เพราะว่า ผมดันไปเห็น ป้าย พรบ. ภาษาไทยโดดเด่น ดั่งรูปด้านล่างนี้แหละครับ ทำเอาผม surprise(ประหลาดใจ)ไปเลยว่า เสือซุ่มเงียบจากแดนผู้ดีอังกฤษแอบมาสร้างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่บ้านเราอยู่นี่เอง แต่แหล่งข่าวที่ผมได้มานั้นก็ไม่มีข้อมูลเพียงพอจริงๆ ที่จะฟันธงได้ว่า นี่คือรถ prototype(ต้นแบบ)ของบริษัทหรือเป็นรถดัดแปลงจากฝีมือช่างคนไทยน่ะครับ
จากการออกแบบรถจักรยานยนต์คันนี้ ต้องขอบอกเลยว่า ทีมงานที่ประกอบรถคันนี้ขึ้นมาทำออกมาได้เนียบมากๆ เก็บสายไฟและรายละเอียดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ดูเรียบร้อยมากครับ
BLINK DRIVE TAKE
วันนี้ผมของดออกความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Royal Enfield Bullet น่ะครับ
แต่ขอเปลี่ยนเป็นเล่าประสพการณ์จริงเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ Royal Enfield Bullet แทนล่ะกันครับ
ก่อนอื่นเลย ผมดีใจและรู้สึกภาคภูมิใจมากๆ ที่ได้เขียนบทความเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Royal Enfield Bullet น่ะครับ เพราะว่าผมเคยขี่รถจักรยานยนต์ Royal Enfield ตอนเด็กๆ ที่ประเทศอินเดียครับ จึงเรียกได้ว่า รถจักรยานยนต์ยี่ห้อนี่เป็นรถคันแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ตอนนั้นผมซื้อมันมาด้วยเงิน 26,000 รูปี เป็นรถปี 1981 โหเก่ามากครับ ตอนได้มานี่เอาไปซ่อมเกือบทุกวัน เรียกได้ว่าหลังเลิกเรียน ถ้าเพื่อนผมอยากเจอผมก็ขี่รถไปหาผมที่ร้านซ่อมรถ Royal enfield ได้เลยเพราะรถแม่งพังทั้งคัน ผมเสียเงินค่าซ่อมไปมากกว่า 8,000 รูปีภายใน 1 ปี (เอาเป็นว่า ค่าน้ำมันรถคันนี้ยังถูกกว่าค่าซ่อมเลยครับ)
แต่ตอนนั้นผมรักมันมาก เลยกัดฟันไม่ยอมขายรถ ซ่อมไปซ่อมมาจนรู้จักอะไหล่เกือบทุกชนิดในรถคันนี้เลย ฮ่า ๆ ถ้าถามผมว่ารักเบอร์ไหนหรอ ผมรักขนาดว่า ตื่นเช้ามา ก็จะถือแปรงฟันพร้อมขันน้ำขันนึงแล้วเดินลงมาที่จอดรถด้านล่างของหอพักแล้วก็แปรงฟันไปเดินดูรถไปเรื่อยๆ ใช้เวลาอยู่กันมันตอนเช้า วันล่ะ 15 นาทีครับ เพราะเป็นรถคันแรกในชีวิต โคตรรักเลยครับ
แต่สุดท้าย ผมต้องยอมปล่อยมันไปตอนปี 3 ครับ เพราะถ้ายังฝืนขี่ไปเรื่อยๆ แบบนี้เรียนไม่จบแน่นอน ฮ๋า ๆ
ส่วนสาเหตุที่ชอบรถคันนี้มากเพราะตอนนั้นเป็นเด็กเพิ่งเข้ามหาลัย อยากทำอะไร cool cool เท่ห์ๆ โดยไม่ได้สนใจอนาคตมั้งครับ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า อยากเท่ห์เหมือน โอนิซึกะ เรื่องคู่หูโอนิบาคุครับ
ยังไงผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้บอกเด็กๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่านเว็บผมเลยน่ะครับ ต้องแยกให้ออกระหว่างความฝันกับหน้าที่ของเรา ถ้าพ่อแม่เราส่งเราไปเรียน ควรจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก่อน เพราะเค้าจ้างเราไปเรีียนครับ ถ้าใครเถียงผมว่า ไม่จริง
ผมก็อยากจะบอกเลยว่า คุณยังเป็นเด็ก ยังหาเงินเรียนหนังสือเองไม่ได้ ไม่เหมือนพวกฝรั่งที่หัดหาเงินเองตั้งแต่อายุ 15 ปี ดังนั้น ถ้าตราบใดที่เค้ายังส่งเงินให้คุณเรียน ส่งเงินให้คุณใช้ระหว่างที่คุณเรียน พวกเค้าก็คือนายจ้างของคุณอย่างถูกต้องตามคำนองครองธรรมครับ นายจ้างคนนี้เค้าไม่คิดจะโกงเงินลูกจ้างแน่นอน แถมเค้าหวังดีกับลูกจ้างอย่างพวกคุณ 100 % แน่นอนครับ ดังนั้นควรจะทำงาน(เรียน)ให้ออกมาดีที่สุด หลังจากคุณได้ใบจบปริณญาตรีแล้ว คุณอยากจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ 4 สูบ ซัก 10 คันก็เป็นเรื่องของคุณแล้วล่ะครับ
ผมเดินทางผิดมากก่อน ไป focus กับรถมอเตอร์ไซค์ซะจนเกือบเรียนไม่จบ ทุกวันนี้ผมยังกลับไปหัวเราะเหตุการณ์เหล่านั้นอยู่เลยว่า ถ้าผมเลือกเดินทางผิดแล้วล่ะก็ คงไม่มี เพจ blink drive วันนี้แน่นอนครับ เพราะผมก็ไม่ได้มาอยู่ที่อเมริกาและทำหน้าที่เป็นคนแปลข่าวให้ทุกท่านแหละครับ
ยังไงก็ stay tune กันน่ะครับ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยที่วันนี้พูดเรื่องตัวเองเยอะไปหน่อยครับ ฮ่า ๆ
ถ้าช่างคนไหนเป็นคนประกอบรถคันนี้ ก็แวะไปสนทนาพูดคุยแสดงตัวต่อได้ที่ : https://www.facebook.com/blinkdrive555/
ผมอยากรู้จักและจะทำการโปรโมทให้เป็นการส่วนตัวเลยครับ
ทำให้ฟรี ไม่คิดเงินค่าโฆษณาแน่นอนครับ