สายไฟถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในรถยนต์ทุกคันนะครับ ถ้าดูจากกราฟด้านล่างจะเห็นได้ว่าโลกเรานั้นเปลี่ยนมาใช้แบต 12 volts ในปี 1960 หรือเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้วซึ่งถูกดันแรงไฟจาก 6 volts มาเป็น 12 volts กันเหมือนทุกวันนี้ จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนสเปคสายไฟในรถให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับ Amp (แอมป์)หรือกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านสายไฟครับ
สายไฟมีขนาดเล็กลง
โวล์ทนั้นคือแรงดันไฟครับ ณ ปัจจุบันค่ายรถทุกค่ายยังใช้แรงดันไฟที่ 12 โวล์ทกันอยู่เลย โดยตอนนี้ค่าเฉลี่ยมากสุดของการใช้ไฟในรถจะอยู่ที่ 12 โวล์ท 220 แอมป์ซึ่งถือว่าเยอะมาก ทำให้โหลดสายไฟทำงานหนักมาก ดังนั้นค่ายรถก็ต้องทำการเปลี่ยนสายไฟให้หนามากขึ้นเพื่อรองรับค่าแอมป์ที่สูงขึ้น
ถ้าอยากให้มีการส่งไฟได้ปริมาณที่เยอะขึ้นก็ไปเล่นกับ Volt หรือ Amp เอาครับ เทสล่าเลยเลือกหักดิบมาใช้แบตก้อนเล็กในรถแบบ 48 Volts แทนนะครับซึ่ง Tesla บอกว่า สามารถลดกระแสไฟในสายไฟได้มากถึง 4 เท่าดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าแอมป์ของแบต 48 Volts นั้นอยู่ที่ 55 แอมป์เอง ถ้าอยู่ในสายไฟ 12 โวล์ทก็จะอยู่ที่ 220 แอมป์เลยทีเดียวครับ
การเพิ่มโวล์ทในรถนั้นจะสามารถลดเรื่อง power loss ในสายไฟไปได้มากถึง 16 เท่าจากเดิมนะครับ
โดยรถที่จะได้ทำการติดตั้งระบบ 48 Volts แบบใหม่นี้ได้แก่ Tesla Cybertruck, Tesla NextGen(น่าจะเป็น Tesla Roadster และ Tesla ราคาถูก)
BLINK DRIVE TAKE
อะไรในรถที่กินไฟเยอะบ้าง?
จริงๆ แล้วลำพังไฟหน้าและไฟท้ายของรถนั้นกินไฟไม่เยอะหรอกนะครับแต่สิ่งที่กินไฟเยอะคือแอร์รถ, FSD chipset, ระบบ Entertainment ภายในรถ, เครื่องเสียงรถ, ระบบทำความร้อนของรถ(Heater), Heat seat, และระบบกล้องรอบคันของรถ ดังนั้นการที่ Tesla รู้ว่ามีอุปกรณ์กินไฟเยอะในรถเพิ่มมากยิ่งขึ้นก็ต้องหาทางแก้ไขการส่งไฟฟ้าภายในรถให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นครับ