อ้างอิงข้อมูลจากคุณ Ak Pukkung ในกลุ่ม BYD THAILAND นั้น เค้าได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการชาร์จไฟ DC Fast Charge โดยแบ่งระดับไฟที่เข้าเป็น SoC (State of Charge) ของแบตดังกราฟด้านล่างนี้นะครับ
วิเคราะห์ข้อมูลโดย Blink Drive :
- ถ้าจะให้มองกันดีๆ คือ แบตเตอรี่ของ BYD นั้นทำ High charging Rage ได้นานมากๆ ครับ คือแบตรถสามารถรับไฟ Max Charging Rate ได้สูงติดเพดาน 88 kW จาก 20 – 45 % (SoC) เลยครับ จากนั้นไฟค่อย Drop ลงมาเหลือเพียง 50 kW ตอน SoC 50 % ครับ ถือว่า ดึงไฟเข้าแบตได้เร็วมากๆ ในช่วง 20-45 % แรกครับ
- ถัดมาอีกช่วงที่ไฟลดลงมานั้นก็ทำการดึงไฟได้ดีระดับนึงเลยในช่วง 50-80% SoC บอกเลยว่า แบต BYD นั้นไม่ธรรมดาในการดึงไฟเลยครับ 50 kW ในช่วง 50-80 % ถือว่าโหดมากๆครับ กับดึงไฟเข้าแบตรถขนาดนี้
- ส่วนหลังจาก 80% SoC ไปแล้วนั้นก็เป็นธรรมดาครับที่จะเห็นกำลังไฟตกแบบลดฮวบครับ เนื่องจาก BMS (Battery Management System) ต้องทำการปกป้องแบตไม่ให้ทำงานหนักเกินไปจนเกิดความร้อนสะสมครับ (ที่มา : osprey)
BLINK DRIVE TAKE
ข้อแนะนำ : ถ้าต้องชาร์จด้วย DC Fast Charge ก็ควรชาร์จแบตรถให้อยู่ระหว่าง 10 – 80% ระหว่างการเดินทาง roadtrip เพราะจะยืดอายุการใช้งานแบต แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินทางไกลจริงๆ ก็อัดประจุไปถึง 95% ก็ได้ครับ แต่อย่าเกินกว่านี้เลย เพราะไม่คุ้มเวลาในการรอชาร์จครับ หลัง 95% ไปแล้วก็อัดไฟเข้าก็ใช้ความเร็วไม่ต่างจาก AC Charger มากนักครับ แถมเป็นการทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้นครับ
Lithium-ion batteries cannot tolerate high voltages for extended periods of time, and keeping your battery charged fully can accelerate degradation.
แปล – แบต lithium-ion นั้นไม่สามารถทนทานกับ high voltage(ไฟแรงดันสูง)เป็นระยะเวลานาน การชาร์จแบตเต็มตลอดเวลานั้นอาจจะทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้น(100%)
ที่มา : hotcar