บริษัทรถ Supercar สัญชาติอิตาลี่นามว่า Lamborghini (แลมโบกินี่) นั้นได้ขายรถยนต์ Supercar น้ำมันมาตั้งแต่ปี 1963 (พ.ศ. 2506) จนมาถึงปี 2022 (พ.ศ. 2565) ประมาณ 60 ปีได้ทำการปิดสายการผลิตรถยนต์น้ำมัน 100% Lamborghini Aventador ลงไป ณ วันอังคารที่ 27 กันยายน 2565 ที่ผ่านมานะครับ
รถยนต์ Supercar คันสุดท้ายที่ออกจากไลน์ผลิตรถยนต์นั่นก็คือ Lamborghini Aventador LP 780-4 Ultimae Roadster เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร โดยรถรุ่นนี้ถูกผลิตมายาวนานถึง 10 ปีเลยนะครับ
สเปค Lamborghini Aventador LP 780-4 Ultimae Roadster
- อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 2.9 วินาที
- เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร
- แรงม้า 780 แรงม้า ณ 8,500 rpm
อ้างอิงข้อมูลจาก jalopnik นั้น, Lamborghini Aventador ถูกผลิตและส่งออกไปขายทั่วโลกมากถึง 11,465 คัน
Lamborghini เอาจริง, ปิดไลน์การผลิตรถน้ำมัน 100% ทั้งหมดภายในปี 2023
ณ ปัจจุบัน(2022) Lamborghini มีไลน์ผลิตรถยนต์(Mass Production)ทั้งหมด 3 รุ่นหลักๆ นะครับ
- Lamborghini Huracán (V10) – ปิดไลน์การผลิตรถน้ำมัน 100% เรียบร้อยแล้ว(กรกฎาคม 2022)
- Lamborghini Aventador (V12) – ปิดไลน์การผลิตรถน้ำมัน 100% เรียบร้อยแล้ว (กันยายน 2022)
- Lamborghini Urus (V8) – ปิดไลน์การผลิตรถน้ำมัน 100% ภายในปี 2023
โดยทั้งสามรุ่นนี้ได้ไปต่อกับระบบ Hybrid นะครับ ซึ่งเทคโนโลยีที่รถยนต์น้ำมัน Lamborghini จะนำมาใช้นั้นจะมาจาก Lamborghini Sian และ Countach (รถ limited production) ที่เป็น Hybrid
Lamborghini มุ่งหน้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า
CEO Lamborghini แจ้งว่า รถยนต์ Lamborghini ทุกรุ่นจะเป็น Hybrid Series ภายในปี 2024 (รถคันสุดท้ายที่ผลิตเป็นรถน้ำมัน 100% คือ Lamborghini URUS)
- Aventador Hybrid ภายในปี 2023
- Urus Plug-in Hybrid ภายในปี 2024
- Huracán Hybrid ภายในปี 2025
- รถยนต์ไฟฟ้า Lamborghini 2028(อีก 6 ปีจากนี้)
ตอนนี้ R&D ของเครื่องยนต์น้ำมัน 100 % นั้นไม่มีอยู่แล้วนะครับ ทีม R&D ของ Lamborghini นั้นหันไปพัฒนา Plug-in Hybrid V12 ของ Lamborghini Aventador และรุ่นอื่นๆ ครับ
ที่มา : electrek
BLINK DRIVE TAKE
Lamborghini นั้นเป็นรถขวัญใจชาวไทยหลายคนอย่างมากครับ รวมถึงตัวผมด้วย ผมจำได้ตอนเด็กๆ(ช่วงประถม) นั้น พ่อผมไปรับเพื่อนของเค้าที่สนามบิน ผมก็ติดรถไปด้วย พอพวกเรากำลังจะเดินไปถึงผู้โดยสารขาออกนั้น ตรงหน้าทางเข้ามีรถสีส้มจอดอยู่ พ่อผมก็เรียกผมมาดูบอกว่า เจอรถคันนึงชอบมากๆ รูปทรงสวยมากๆ ออกแบบได้โฉบเฉี่ยวอย่างมาก แถมเป็นรถสองประตู ขนาดไม่สูงมากนัก แล้วพ่อก็ดึงผมไปดูรถคันนั้นที่ปากทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาออกนะครับ ระหว่างที่เดินไปก็บอกผมตลอดว่า ป๊าไม่ขออะไรมากนะ ถ้าบริง(ชื่อผม)โตมาและเริ่มทำงานแล้ว ป๊าอยากได้รถคันนี้ มันเล็กๆ น่ารักดี ผมงงๆ อยู่แต่ก็เดินตามไปด้วย ปรากฏว่า แกชี้รถยนต์ Lamborghini Gallardo ให้ผมดู ผมก็เหวอๆแล้วบอกป๊าว่า เห้ยนั่นมันรถ Supercar เลยนะป๊า แพงกว่า BMW หรือ Benz อีก
จริงๆ ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักชื่อรุ่น จำว่าเห็นแผ่นป้ายวัวกระทิงตรงหน้าแล้วก็ไปหาข้อมูลในนิตยสารตามร้านขายหนังสือเลยรู้ว่ารถคันนี้มันแพงมากๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับยี่ห้อรถ Lamborghini นะครับแล้วมันก็จำฝังใจมาตลอดว่ารถเหล่านี้ออกแบบมาได้สวยทุกรุ่นเลยครับ
อย่างไรก็ตามการที่ Lamborghini หันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและทิ้งโปรเจครถยนต์น้ำมัน 100% แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวมากๆครับ ผมเห็นด้วยกับ CEO Lamborghini (คุณ Winkelmann) นะครับว่า we don’t need to be the first ones, but when we kick in, we need to be the best (แปล – พวกเราไม่อยากให้ผู้คนจดจำว่าพวกเราเป็นคนสร้างรถยนต์ไฟฟ้าเป็นคนแรก แต่พวกเราอยากผู้คนจดจำเราว่า รถยนต์ไฟฟ้า Lamborghini นั้นเป็นที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าต่างหาก)
ผมเชื่อว่า Lamborghini นั้นมีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์รถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้คงสไตล์ความเป็น Lamborghini แต่เรื่องความเร็วนั้นต้องรอพิสูจน์อีกทีนะครับเพราะรถยนต์ไฟฟ้า 4 ประตู(Family Car) อย่าง Tesla Model S Plaid นั้นมีอัตราเร่ง 0-100 km/h ที่ 2.1 วินาทีไปแล้ว (ส่วนตัวผมกับพี่ต้อม iMoD ไปนั่งทดสอบกันก็ได้ 2.41 วินาที)
ดังนั้น ถ้า Lamborghini Aventador Hybrid มาจริงๆ รถคันนี้ควรจะมีอัตราเร่ง 0-100 km/h นั้นควรจะอยู่แถวๆ 2.1 – 2.2 วินาทีครับ ถึงจะเอาบังลังค์ความขลังของ Supercar กลับมาจากรถบ้าน ๆ อย่าง Tesla Model S Plaid ได้นะครับ