สวัสดีครับ ชาว Blink Drive ทุกท่านครับ วันนี้ผมได้รับโจทย์จากสมาชิกเพจ(คุณสันต์)ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอังกฤษมานะครับโดยคำถามของเค้าคือ
สมมุติว่าพี่เหลือแบตแค่ 20% พี่จะเติมให้เต็มเลยคืออีก 80%
แบตเทสล่า 75 kWh แสดงว่าพี่มีแบตเหลืออยู่ 15 kWh
ต้องการอีก 60 kWh
ค่าใช้จ่ายในการชาร์จตามรูปภาพด้านบน คำถามคือ คิด และคำนวณยังไง?
พี่จะโดนค่าชาร์จเท่าไหร่ครับ คำนวณยังไง?
คุณสันต์ เจ้าของ Tesla Model Y ณ ประเทศอังกฤษ
ก่อนที่จะไปตอบคำถามของคุณสันต์นั้นผมขอปูพื้นเกี่ยวกับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบสากลโลกให้ทุกท่านเข้าใจกันก่อนนะครับ
ชาร์จ(สถานี)นอกบ้านมีกี่ประเภท
หมายเหตุ : ในโพสนี้ผมจะไม่พูดถึง App หรือ บริษัทที่ให้บริการการชาร์จนะครับ เดี๋ยวจะลึกไปแต่ผมจะทิ้งคลิปของคุณดลเอาไว้ให้ด้านล่างเพื่อศึกษาเพิ่มเติมครับ
การชาร์จไฟนอกบ้านนั้นมี 2 ประเภทหลักๆ ครับคือ
1. AC Charge
หรืออเมริกาเรียกว่า Level 2 Charger ซึ่งจะปล่อยกำลังไฟอยู่ที่ 6.6 kW ไปจนถึง 11 kW มีบางสถานีที่สามารถปล่อยกำลังไฟ AC ได้มากถึง 22 kW
ส่วนที่ไทยนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทแยกย่อยลงมาคือ
Mode2 : หัวชาร์จที่มีสายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามาให้
Mode3 : หัวชาร์จที่มีแค่ปลั๊กเสียบสายชาร์จเฉยๆ ผู้ใช้งานต้องนำสายชาร์จมาเสียบเพื่อชาร์จเอง (คลิปด้านล่างนี้จะเป็นการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าผ่าน Mode3 นะครับ)
เกร็ดความรู้
- รถทั่วไปอย่าง MG ZS EV หรือ ORA GoodCat จะอยู่ที่ 6-7 kW ครับ
- รถ Tesla Model 3 / Model Y นั้นจะรับไฟได้ 11 kW ในรุ่น Long Range ส่วนรุ่นธรรมดา(SR+) จะรับไฟได้ประมาณ 7 kW ครับ
- รถ Tesla Model S/Model X จะมี onboard charger อยู่ที่ 17.5 kW
- อย่างไรก็ตามรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันที่สามารถรับไฟ AC ได้มากถึง 22 kW นั้นคือ Porsche Taycan ซึ่งต้องซื้อ option onboard 22 kW มาด้วยนะครับ มิฉะนั้นจะได้ตัว onboard charger แค่ 11 kW ติดตัวมาครับ
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน(ในไทย)นั้น สถานี AC Charger ส่วนใหญ่ยังเปิดให้ใช้บริการฟรีนะครับ และยังไม่มี idle fee ครับ เราจึงเห็นรถยนต์น้ำมัน Plug-in Hybrid ไปจอดแช่ข้ามวันกันก็มีครับ
2.DC Charge
อันนี้เป็นสถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าแบบเร็วซึ่งความเร็วส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 50 kW ไปจนถึง 350 kW ครับ ส่วน DC Charger ของรถที่รับได้นั้นก็แล้วแต่รุ่นของรถเลยครับ อย่างไรก็ตามผมเอาสเปค DC fast charge (Max speed)ของแต่ล่ะรุ่นมากางเอาไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ
- MG ZS EV : 75 kW
- ORA Goodcat : 60 kW
- Tesla Model 3/ Model Y : 250 kW
- Tesla Model S/Model X : 250 kW
อย่างไรก็ตามการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นนั้นไม่ได้แปลว่าเราจะสามารถชาร์จได้เต็ม Charging speed(ความเร็วในการชาร์จ)ตลอดเวลานะครับ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังด้านล่างว่าทำไมนะครับ
อัตราการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท?
ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า การคิดค่าชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในโลกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทนะครับคือ
- เป็นนาที – อันนี้โหดร้ายมากๆ เพราะรถเราไม่ได้ชาร์จเร็วตาม speed ที่เค้าให้มาตลอด ดังนั้นโปรเป็นนาทีนั้นค่อนข้างเอาเปรียบลูกค้าครับ
- เป็น kWh – อันนี้คือมาตราฐานทั่วไป ซึ่งจะคิดค่าไฟที่ชาร์จไปเป็นหน่วย(kWh)
โดยปกติแล้วการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบแฟร์ๆ(ยุติธรรม)จะคิดเป็น kWh นะครับและจะมี idle fee ตบท้ายเพื่อป้องกันคนมาจอดแช่ครับ เดี๋ยวผมจะขออธิบาย idle feeให้ทุกท่านเข้าใจคร่าวๆ นะครับ
Idle fee คืออะไร?
Idle Fee หรือค่าปรับในกรณีชาร์จเต็ม 100% นั้นจะถูกเก็บต่อเมื่อคุณจอดคางเอาไว้แล้วก็ไม่ได้ชาร์จแบตแล้วนะครับ โดยระบบจะคิดค่าปรับเป็นนาทีครับ อย่างของ Tesla Super Charger อเมริกาก็คิดนาทีล่ะ $1 หรือ 33 บาทครับ โดย 5 นาทีแรกที่ชาร์จเต็มนั้นระบบจะยังไม่คิดเงิน นั่นก็แปลว่า เรามีเวลาเพียง 5 นาทีในการดึงปลั๊กออกหลังจากที่รถยนต์ไฟฟ้าจอดชาร์จเต็มแล้วนั่นเองครับ
การเก็บค่าปรับ Idle Fee นี่ไม่ได้ทำให้บริษัทผู้ให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารวยขึ้นแต่อย่างใดครับ แต่เป็นการปรับเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามาจอดค้างหรือแช่เอาไว้หลังชาร์จเต็ม 100% ทั้งนี้ปรับไปเพื่อให้คนเอารถออกไปและให้คนที่มีความต้องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าคันถัดไปเข้ามาจอดนะครับ
คราวนี้โจทย์ก็คือว่า ถ้าแบตรถยนต์ไฟฟ้าของคุณเหลือเพียง 20 % แต่ต้องการชาร์จให้ได้เต็ม 80 % จะเสียเงินเท่าไหร่?
วิธีคิดคำนวณชาร์จจาก 20 – 80 % ของ SoC(State of Charge)
สมมุติว่ารถเรามีแบตอยู่ 20 % แล้วต้องการชาร์จให้ถึง 80%(Optimum charging level : เป็นระดับในการชาร์จที่เหมาะสมที่สุดในการชาร์จแบบ DC เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังด้านล่างว่าทำไม Optimum Charging Level ของ DC คือ 80% นะครับ)
อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถเอามาตราวัดของรถเราไปวัดรถคันอื่นได้ว่าชาร์จจาก 20 % ไปถึง 80% ของผม 300 บาทนะ ดังนั้นแปลว่า รถเพื่อนเรา(Tesla Model 3 SR+)ก็จะเสียเงินเท่าเราเหมือนกัน
อารมณ์ SoC (State of Charge) ของรถยนต์ไฟฟ้านั้นก็เหมือนขีดวัดน้ำมันในรถยนต์น้ำมันทั่วไปแหละครับ จะบอกว่า เติมน้ำมัน 2 ขีดนั้นคือ 400 บาทก็ไม่ใช่เพราะเราไม่สามารถเอาถังน้ำมันรถเรา(กระบะ)ไปวัดกับรถ ECO car ได้แหละครับ ดังนั้นมันมีสูตรในการวัด % ของแบตครับสูตรนั้นก็คือ…
วัดจากขนาดของแบตรถยนต์ไฟฟ้าของเราครับ เช่น โจทย์จากคุณสันต์คือ Tesla Model Y Long Range มีแบตเหลืออยู่ 20 % แล้วต้องการใช้ไฟไปให้ถึง 80 % จะเสียค่าไฟตามตู้เท่าไหร่? สิ่งที่ต้องการในสมการนี้คือ
- อัตราค่าไฟที่ตู้ชาร์จ
- 60 % ของแบต Tesla Model Y Long Range เท่ากับเท่าไหร่?
ข้อหนึ่งนั้นหาไม่ยากครับ เพียงแค่เปิด app เราก็จะรู้ทันทีว่าค่าไฟ kWh ตามตู้ DC นั้นเท่าไหร่นะครับ อย่างของที่คุณสันต์ส่งมาจากประเทศอังกฤษนั้นคือ 0.49 ปอนด์หรือ 21.76 บาทต่อ kWh(แพงหูฉีกเลยครับ ฮ่าๆ)
คราวนี้มาหาข้อมูลจากข้อสองกันก็คือ 60 % ของแบต Tesla Model Y Long Range เท่ากับเท่าไหร่? อันนี้ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า แบตรุ่นไหนรุ่นนั้นนะครับ ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้ ดังนั้น คุณต้องไปดูว่า รถคุณคือรุ่นอะไรจากนั้นก็ไปค้นหาสเปคแบตใน internet ครับ
อย่าง Tesla Model Y Long Range ของคุณสันต์ที่ส่งมานั้นใช้แบต 82 kWh ดังนั้นเราสามารถใช้สูตรนี้ได้เลย
(82 x 60)/100 = 49.2 kWh
นั่นก็แปลว่า ถ้าคุณสันต์อยากชาร์จรถจาก 20 % ไปยัง 80 % จะต้องชาร์จไฟเข้าแบตรถประมาณ 49 kWh (บวกลบไม่เกิน 1 kWh) เท่ากับว่าคุณสันต์ต้องเสียเงินมากถึง 1,070 บาท(24.1 ปอนด์)ในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y Long Range ผ่าน DC Fast Charge station แห่งนี้นะครับ
Blink Drive Mini Take : แพงอยู่มากๆ ครับ ที่จะชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านอกบ้านผ่าน DC Charging station ที่คิดค่าบริการแพงระดับนี้ เพราะถ้าต้องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y Long Range อยู่ที่บ้านเราจริงๆ(ค่าไฟหน่วยล่ะ 4 บาท)ก็จะตกเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 196.8 บาทเองครับ
ทำไมต้องชาร์จ(DC)แค่ 80%?
หลักๆ คือ มันจะช้าลงและแบตจะทำงานหนักขึ้นเวลาประจุไฟใกล้เต็มนะครับ
จริงๆ มันก็ไม่จำเป็นต้องหยุดชาร์จที่ 80 % หรอกนะครับ แต่ถ้าดูจากกราฟด้านล่างแล้วจะเห็นได้ว่าจุดตัด charging speed ของแต่ล่ะค่ายนั้นอยู่ที่แถวๆ 75-85 % นะครับ
ของ Tesla Charging ด้วย V3 จะเห็นได้ว่า charging speed จะ drop ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ 35% และจะไป drop แบบดิ่งที่ 85% ครับ
โดยเราจะเห็นได้ว่า หลัง 85 % ไปแล้วจะรับไฟได้ต่ำกว่า 50 kW ซึ่งนั่นก็คือช้ากว่าที่ควรจะเป็นครับ
ชาร์จเกิน 80% ไปแล้วจะช้าไหม?
พี่จะใช้เวลาชาร์จนานเท่าไหร่ ถึงจะเต็ม 100 หรือเกิน 95% ก็โอเค
ถ้าผมตอบแบบภาษาบ้านๆ คือ หลังจาก 80 % ไปแล้ว(สำหรับ Tesla Model 3 และ Model Y)นั้นจะรับไฟช้าลงไปประมาณ 2 เท่าตัวจากการชาร์จ 20-80% ครับ(เปรียบเทียบกับ Tesla Supercharger V3) จากค่าเฉลี่ยที่ insideevs แจ้งว่าคือ 130 kW ส่วนชาร์จหลัง 85 % ไปแล้วความเร็วในการชาร์จจะตกลงต่ำกว่า 50 kW ครับ
ยังไงผมมีรีวิวการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model Y และ Model 3 ต่างประเทศให้ดูตรงนี้นะครับ
BLINK DRIVE TAKE
อย่างไรก็ตามนี่คือการเปรียบเทียบในต่างประเทศที่มีสถานี DC Fast charge ที่สามารถปล่อยไฟได้มากถึง 250 kW นะครับ ถ้าเราชาร์จกับแท่นชาร์จ 150 kW นั้นความแตกต่างระหว่าง 20-80% กับ 80-95 % จะไม่ห่างกันมากครับ
แต่ถ้าเอาจริงๆ แล้ว ถ้าเราสามารถขับไปต่อเพื่อชาร์จสถานีข้างหน้าได้ ผมว่าก็เป็นการลดเวลาในการเดินทางลงไปมากครับเพราะเอาจริงๆแล้วฝรั่งเค้าเคย test กันว่า ชาร์จจาก 20 —> 80 % กับการชาร์จ 81 —> 99 % นั้นใช้เวลาแทบจะเท่ากันเลยครับ
เอาเป็นว่า ถ้าไม่มีใครต่อแถวรอเราอยู่หรือถ้าระยะทางที่เราจะขับไปต่อนั้นสามารถขับไปได้โดยไม่ต้องกังวลแบตหมดกลางทางก็ชาร์จเต็มแค่ 80 – 85 % ก็พอครับ แต่ถ้าเราจำเป็นต้องเดินทางไกลจริงๆ ผมก็แนะนำให้ชาร์จเต็ม 95% แทนนะครับ เพราะถ้าชาร์จเต็ม 100% นั้นแบตจะทำงานหนักขึ้น(DC Fast charge มันสร้างความร้อนให้แบตมากกว่า AC Charge) และอีกเรื่องคือ regen brake จะไม่ทำงานเวลาแบตเต็ม 100% ครับ(ผ้าเบรคจะทำงานแทน)