Blink Blink
chapterUncategorized

EV บทที่ 1 : GOM (Guess-O-Meter) คืออะไร?

สิ่งที่ผมและเชื่อว่าลูกเพจทุกท่านอยากรู้ทีสุดคือ Range (ระยะทางที่วิ่งได้) ว่า รถยนต์ไฟฟ้าเคลมเอาไว้กับการเอามาวิ่งจริงนั้นจะแตกต่างกันยังไงบ้าง เพราะคนไทยหลายท่านที่กลัวจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากพวกเรายังมีความเชื่อที่ผิดๆ หลายอย่างเกียวกับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น บริษัทบอกว่ารถ EV วิ่งได้ 300 km พอเพื่อนเราซื้อมาใช้ปรากฏว่าวิ่งได้แค่ 220 km ก็ไฟหมด(Overestimate Range) เป็นต้น อย่างไรก็ตามเดี๋ยวเรามาดูปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อ Range หรือ GOM ของรถ EV กันดีกว่าครับ

1. สภาพภูมิอากาศ

ถ้าอากาศเย็นจัด(0 องศาหรือต่ำกว่านั้น)จนเกินไป รถจะวิ่งได้น้อยกว่าปกติเพราะรถต้องจ่ายพลังงานไปที่ Heater ส่วนอากาศร้อนจัด(สูงกว่า 35 องศา)นั้นมีผลกับรถยนต์ไฟฟ้าเหมือนกันแต่ไม่เท่าอากาศเย็นจัด เพราะ Heater กินไฟมากกว่า A/C เสมอครับ

อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำให้รถ EV ประหยัดไฟมากที่สุดคือ 21-22 C ผมได้ทิ้งกราฟการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเอาไว้ด้านล่างโดยเค้าได้ทำการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าในอุณหภูมิต่างๆ ตั้งแต่ -20 C ไปจนถึง 45 C ครับ

2. ความเร็วในการขับ

ถ้าคุณเป็นคนชอบขับรถซิ่ง(ออกตัวแรงๆ), ขับรถด้วยความเร็วสูง(เร็วกว่า 120 km/h), ขับในที่ๆฝนตกเป็นหลัก, หรือชอบเปิดแอร์นั่งเล่นในรถ(ประมาณว่านั่งเล่นบนรถ 2-3 ชั่วโมงรอแฟน), เป็นต้น Guess-O-Meter ของผมจะมี Range ลดลงจาก Range ที่สามารถใช้งานจริงตามพฤติกรรมหรือสภาพอากาศที่กล่าวมาครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า รถ Chevrolet Bolt ผมให้ Range มาที่ 380 km แต่เอาจริงๆ ตั้งแต่ผมซื้อมาใช้ผมยังไม่เคยสามารถใช้ได้เกิน 310 km เลยครับ

GOM หรือ Guess-O-Meter เหมือน AI ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการขับขี่ของคนขับคนนั้นซึ่งรถจะใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้กับพฤติกรรมและสภาพอากาศ(ยิ่งหนาวยิ่งวิ่งได้น้อยลงเพราะ heater กินไฟกว่าแอร์)ของคนๆ นั้นประมาณ 1 charge cycle หรือการใช้ไฟจาก 100 % ไปยัง 0 % ครับ แต่ถ้าเราเอารถให้คนอื่นขับ GOM มันก็จะไปเรียนรู้พฤติกรรมจากคนที่มาขับคนใหม่และหน้าปัดจะบอก Range อันใหม่ขึ้นมาครับ อันนี้ก็เป็นข้อมูลที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับทุกท่านนะครับ ถ้าท่านผู้อ่านทุกท่านไม่เข้าใจการทำงานของ GOM ก็ไม่เป็นไรครับ แต่อยากให้ท่านผู้อ่านทุกท่านเข้าใจว่า รถยนต์ไฟฟ้าทุกคันไม่สามารถวิ่งได้ไกลกว่า Range ที่โรงงานระบุมาครับ (ยกเว้นแต่จะทำการทดสอบแปลกๆ เช่นวิ่งด้วยความเร็ว 40 km/h และปิดแอร์แบบที่คุณตามเคยทดสอบกับ MG ZS EV ครับ อันนั้นคือการทดสอบ Range Test เพื่อเค้นศักยภาพของรถจริงๆ ซึ่งถ้าเราวิ่งแบบนั้นได้จริงๆ รถก็จะมี Range เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเลยครับ จริงๆ MG ZS EV เคลมเอาไว้ว่าจะวิ่งได้ไกลถึง

ทำไมรถ EV ยิ่งขับเร็วยิ่งเปลืองแบต?

แล้วทำไมรถยนต์น้ำมันถึงได้ Range ที่ดีกว่าเวลาวิ่งต่างจังหวัดหรือทางไกล? จนกลายเป็นว่า Range ที่เคลมมาจากโรงงานนั้นจะแตกต่างกันน้อยมากๆ แต่รถ EV นั้นพอเอาไปวิ่งต่างจังหวัดนั้น Range ลดฮวบฮาบจนเจ้าของรถมือใหม่ตกใจกันเกือบทุกรายและวิ่งหาที่ชาร์จแทบไม่ทัน

ผมขอเสริมตรงนี้เลยล่ะกันนะครับ รถยนต์ไฟฟ้าทุกคันตอนนี้มีแค่ 1 เกียร์เท่านั้น(ยกเว้น Porsche Taycan ที่มี 2 เกียร์ครับ) ดังนั้น เค้าถึงบอกว่า เอารถยนต์ไฟฟ้ามาขับในเมืองด้วยความเร็วไม่เกิน 90 km/h นั้นไม่มีทางกิน Range ของรถมากกว่าปกติได้เลย(ยกเว้นออกตัวแรงๆ ทุกไฟแดง)เพราะว่ามอเตอร์ไม่ได้ทำงานรอบสูง การกินไฟก็จะน้อยกว่าวิ่งนอกเมืองด้วยความเร็วสูง

แต่ในทางกลับกัน เวลาวิ่งด้วยความเร็วสูงนั้น รถยนต์ไฟฟ้านั้นลากรอบไปสูงมากๆ เพื่อให้ได้ความเร็วที่สูงขึ้น เนื่องจากรถ EV ไม่มีเกียร์มาช่วยทดรอบเหมือนรถยนต์น้ำมันที่มีเกียร์ 5-7 เกียร์ในการทดรอบ เวลารถยนต์น้ำมันวิ่งด้วยความเร็ว 120 km/h (ถนน highway)กับ ความเร็ว 40 km/h (ถนนในเมือง) อาจจะใช้รอบรถใกล้เคียงกันด้วยซ้ำ แต่รถยนต์ไฟฟ้านั้นต่างออกไปคือ เวลาวิ่งทางไกลแบบนี้ด้วยความเร็ว 120 km/h รอบ (rpm) ทำงานสูงกว่าการวิ่งด้วยความเร็ว 40 km/h (อ้างอิงคลิปคุณตามด้านบน) ทำให้เวลาเราเดินทางไกลบนถนน Highway ที่ต้องใช้ความเร็วสูงนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจะได้ Range ที่ต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมากครับ

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นความ อ้างอิงการทดสอบของคุณตามที่เคยเอา Tesla Model 3 SR+(Standard Range Plus) ไปทดสอบโดยการวิ่ง 90 km/h และ 120 km/h ให้จนไฟหมดแล้วมาเชคระยะทางจริงๆ ผลทดสอบก็ได้ตามนี้เลยครับ

วิ่งด้วยความเร็ว 90 km/h (56 mph):

  • ระยะทางที่วิ่งได้ 391 km (243 miles)
  • พลังงานที่ใช้ไปต่อกิโลเมตร : 130 Wh/km (209 Wh/mile)

วิ่งด้วยความเร็ว 120 km/h (75 mph); เร่งความเร็วมากกว่าเดิม 33% เมื่อเปรียบเทียบกับ 90 km/h:

  • ระยะทางที่วิ่งได้ 283 km (176 miles); Range หายไปมากกว่า 28% จากความเร็ว 90 km/h
  • พลังงานที่ใช้ไปต่อกิโลเมตร : 180 Wh/km (290 Wh/mile); กินไฟมากขึ้นถึง 38%

หมายเหตุ : การทดสอบครั้งนี้ใช้ ถนน, รถ, คนขับ, พฤติกรรมการขับเหมือนกันเป๊ะครับ

BLINK DRIVE TAKE

วันนี้เอาแค่นี้ก่อนเนอะ พอหอมปากหอมคอ

วันหลังเจอกันใหม่ครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

ส่งข้อมูลที่น่าสนใจและอยากให้แปลมาได้ที่ THE FORTRESS

Follow by Email