อ้างอิงข้อมูลจาก New York Time ประธานาธิบดีไบเดนได้เตรียมนโยบายทั้งรุกและรับการมาของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอเมริกาซึ่งอย่างแรกเลย เราจะมาดูนโยบายเชิงรุกของไบเดน
นโยบายเชิงรุก – tailpipes emission
คำว่านโยบายเชิงรุกในที่นี้หมายถึงรุกผู้ผลิตโดยออกกฏหมายเชิงรุกบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องหันไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ hybrid นะครับแต่ถ้ามองจากมาตราฐานที่ประธานาธิบดีไบเดนสร้างเอาไว้แล้วล่ะก็ มันเป็นไปได้ยากมากๆ ที่จะสร้างรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษน้อยขนาดนี้ครับ โดยนโยบาย tailpipe emission ได้ก่อกำเนิดในยุครัฐบาลโอบาม่าในปี 2012 ต่อมาภายหลังได้ถูกเปลี่ยนแปลงในยุครัฐบาลทรัมป์เพื่อให้เอื้อต่อค่ายรถยนต์น้ำมัน และตอนนี้มาถึงยุครัฐบาลไบเดนซึ่งลุงโจแกเอาจริงครับ แกเตรียมเอานโยบายของประธานนาธิบดีโอบาม่ากลับมาใช้ใหม่ครับ
- ยุคโอบาม่า : รถยนต์ทุกคันที่ผลิตใหม่ในปี 2025 จะต้องมีการบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 51 ไมล์ต่อแกลลอน หรือ 21.6 km/l
- ยุคทรัมป์ : รถยนต์ทุกคันที่ผลิตใหม่ในปี 2025 จะต้องมีการบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 44 ไมล์ต่อแกลลอน หรือ 18.7 km/l
- ยุคไบเดน : รถยนต์ทุกคันที่ผลิตใหม่ในปี 2026 จะต้องมีการบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 51 ไมล์ต่อแกลลอน หรือ 21.6 km/l
ตอนอดีตประธานาธิบดีโอบาม่าตั้งกฏหมายตัวนี้ขึ้นมานั้นเป็นช่วงปี 2012 หรือก่อนหน้าปี 2025 ถึง 13 ปี ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้เข้ามาแก้ไขกฏหมายเพื่อเอาใจค่ายรถยนต์น้ำมันโดยการเปลี่ยน EPA ให้เป็น 44 ไมล์ต่อแกลลอน หรือ 18.7 km/l ภายในปี 2025 ซึ่งห่างจากสมัยทรัมป์อยู่ประมาณ 6 ปี พอมาถึงยุคไบเดน(ปี 2021)ก็ได้แก้ไขกฏหมายให้กลับเป็นแบบเดิมแต่อนุโลมให้ล่นถอยไปอีก 1 ปี แต่ถ้ามองกันจริงๆ นั้นกฏหมายตัวนี้จะมีผลบังคับใช้ภายใน 4 ปีหลังจากนี้ซึ่งถือว่าเร็วมากๆ เลยครับ
กลัวว่าค่ายรถยนต์หลายค่ายจะปรับตัวไม่ทันจริงๆครับเพราะในตลาดรถยนต์ของอเมริกามีรถยนต์ไฟฟ้าเพียง 10-20 รุ่นเท่านั้นเอง ส่วนไทยไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่มีซักรุ่นที่ผลิตในไทย มีแค่นำเข้าผ่าน FTA 0% มา 2 รุ่นคือ MG ZS EV และ MG EP EV ครับ
ก่อนอื่นเลยเราต้องมาดูกันว่ารถยนต์แต่ล่ะคันนั้นกินน้ำมันที่เท่าไหร่กันบ้างนะครับ
ผมลองเอารถยนต์น้ำมันที่ขายดีในแต่ล่ะ section บนท้องตลาดอเมริกามาให้ดูนะครับ
- Ford F-150 เครื่อง 3.5 ลิตร เทอร์โบ กินน้ำมันอยู่ที่ 20 MPG – สอบตกทันที
- BMW 330i xDrive เครื่อง 2.0 ลิตร เทอร์โบ กินน้ำมันอยู่ที่ 28 MPG – สอบตกทันที
- Honda Civic เครื่อง 1.5 ลิตร เทอร์โบ กินน้ำมันอยู่ที่ 33 MPG – สอบตกทันที
- Toyota Camry เครื่อง 2.5 ลิตร Hybrid กินน้ำมันอยู่ที่ 52 MPG – สอบผ่าน
จะเห็นได้ว่าถ้ากฏหมาย tailpipe ของประธานาธิบดีไบเดนออกมาแล้วล่ะก็จะเกิดผลกระทบในวงกว้างคือ รถที่ว่ามา 3 ใน 4 รุ่นนี้สอบตกทันทีครับ จริงๆ การที่จะสร้างรถที่มีการบริโภคน้ำมันต่ำกว่า 51 ไมล์ต่อแกลลอน หรือ 21.6 km/l นั้นต้องเป็น Hybrid ลูกเดียวครับ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไบเดนผ่านกฏหมายตัวนี้ได้จริงๆ นั่นก็แปลว่ารถกระบะ, รถตู้, รถเก๋ง, และรถยนต์ประเภทต่างๆ ต้องไปใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนหรือไม่ก็ Hybrid ผสมเพื่อความอยู่รอดครับ
หมายเหตุ : กฏหมายตัวนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะรถใหม่ที่จะวางขายในปี 2026 หรืออีก 5 ปีหลังจากนี้เป็นต้นไปครับ
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น ทุกชนิดจะไม่โดนกระทบอะไรเลยจากกฏหมายตัวนี้ครับ ทำให้เป็นผลเสียต่อค่ายรถยนต์น้ำมันเท่านั้นครับ
นโยบายเชิงรับ – สร้างสถานีชาร์จ 500,000 สถานีภายในปี 2030
นี่เป็นการสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาและจำนวน 500,000 สถานีนั้นจะมีมากกว่าปั้มน้ำมันในอเมริกาถึง 4 เท่าตัวเลยทีเดียวครับ
นโยบายนี้ถูกผลักดันโดยคุณ Gina McCarthy (จีน่า มักคาร์ที)ซึ่งดำรงตำแหน่ง first White House National Climate Advisor หรือพูดง่ายๆ คือที่ปรึกษาด้านภูมิอากาศของทำเนียบขาวภายใต้การทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
อ้างอิงข้อมูลจาก utility dive นโยบาย Bipartisan Investment นั้นจะใช้งบประมาณแผ่นดินของอเมริกามากกว่า 9.73 แสนล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 29.19 ล้านล้านบาทในการสร้าง infrastructure Framework ใหม่ให้กับประเทศอเมริกาครับ
ถ้าดูกันภายในโครงสร้างของ Bipartisan แล้วจะเห็นได้ว่ามีงบประมาณแบ่งจ่ายไปยัง EV infrastructure ประมาณ 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 22,500 ล้านบาท แล้วยังมี electric bus หรือ transit (ระบบขนส่ง) ที่รัฐบาลเตรียมเงินไว้อีก 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 22,500 ล้านบาท แต่ถ้าดูข้อมูลเพิ่มเติมในงบประมาณฉบับนี้จะเห็นได้ว่ามีการใส่งบประมาณลงไปใน Power infrastructure หรือการสร้างระบบไฟฟ้าให้กับประเทศซึ่งจะรวมไปถึง Grid สำหรับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอีกประมาณ 7.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือ 22,000 ล้านบาท
เลขานุการ Granholm ยังบอกอีกว่า การสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 500,000 สถานีในครั้งนี้ถือว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่และมากกว่าการลงทุนสร้างรางรถไฟในอเมริกาที่ผ่านมาเลยทีเดียวครับ
ส่วนคุณจีน่าบอกว่า ถ้าเราเริ่มที่จะเกาะกระแสของอนาคตในวันนี้ ลองคิดดูสิว่า เราจะสามารถสร้างงานให้กับประชาชนของเราได้มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเราเป็นผู้นำก่อนชาติอื่นในวันนี้ เรายิ่งมีโอกาสสร้างพื้นที่การทำมาหากินให้กับประชาชนของเรามากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
เลขานุการ Granholm เสริมว่า การมาของรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่การสร้างงานให้กับประชาชนโดยการสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว แต่พวกเรายังสร้างงานให้กับคนในอุตสาหกรรมรถยนต์ให้มีทักษะฝีมือการสร้างรถยนต์ที่เหนือกว่าที่เคยเป็นมาเสียอีก
ที่มา : Forbes
BLINK DRIVE TAKE
จริงๆ มันมีนโยบายอื่นๆ ยิบย่อยลงไปอีกเกี่ยวกับการผลักและดันรถยนต์ไฟฟ้าให้เข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้นนะครับ อย่างที่เห็นอย่างแรกคือนโยบายเชิงรุกที่บีบให้ผู้ผลิตรถยนต์หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรือ Hybrid เพื่อลดมลพิษ จริงๆ แล้วถ้าผู้ผลิตรถยนต์ต้องเลือกระหว่างผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไปเลยกับหันไปผลิตรถยนต์ Hybrid ก็คงต้องมาดู demand ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ซึ่งก็เห็นกันได้ชัดว่า demand ของ Hybrid นั้นทรงๆ แต่ demand รถยนต์ไฟฟ้านั้นเพิ่มขึ้น 200 – 300% ทุกปี เราก็คงต้องมาดูว่าค่ายรถยนต์ในอเมริกาแต่ล่ะค่ายจะปรับตัวกันยังไงนะครับ
ถ้าถามว่ามีแรงต้านในอเมริกาไหม ผมตอบเลยครับว่ามี แรงต้านอย่างแรกมาจากผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้เหตุผลอ้างว่าการเปลี่ยนถ่ายเร็วเกินไปจะไม่ทำให้เกิดผลดีกับโครงสร้างการผลิตและไม่สร้างกำไรในระยะสั้นเลย แต่ถ้าพวกเค้าไม่ shift(เปลี่ยน) วันนี้ พวกเค้าก็รู้ตัวว่าอาจจะโดนจีนกินตลาดรถยนต์ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
ส่วนแรงต้านอย่างที่สองคือ oil และ gas ซึ่งในอเมริกายังมีหลายรัฐที่ส่งออกน้ำมันเป็นหลักและรัฐเหล่านี้เป็นรัฐ swing state คือมีโอกาสเปลี่ยนข้างเป็นอีกฝั่ง (republican) ได้เสมอ อย่าง เช่น Michigan และ Ohio ซึ่งมีคนของ union อยู่เป็นจำนวนมากครับ
อย่างไรก็ตามก็มีรัฐที่พร้อมจะเข้าร่วมและสนับสนุนไบเดนอย่างออกหน้าออกตา เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งประกาศแข็งกร้าวที่จะแบนการขายรถยนต์น้ำมันมือหนึ่งในปี 2035 พร้อมกับรัฐอื่นๆ อีก 13 รัฐในอเมริกาครับ
ถ้ามองกันตามเนื้อผ้าจริงๆ ผมมองว่า อเมริกามีสิทธิ์สูงที่จะทำให้การซื้อ-ขายรถยนต์น้ำมันหลังปี 2026 นั้นเป็นเรื่องยากมากกว่าการซื้อ-ขายกัญชาครับ