Blink Blink
volk swagen

[1/5] Power Days Volkswagen : การลดต้นทุนการผลิตแบต

ก่อนจะเข้าไปเจาะลึกงาน Power Day ของ Volkswagen นั้น ผมอยากให้ทุกท่านมาทำความรู้จักเครือ Volkswagen กันก่อนนะครับ

ประวัติความยิ่งใหญ่ของเครือ Volkswagen

เครือ Volkswagen นั้นใหญ่มากๆ และทรัพย์สินของเค้านั้นอยู่อันดับสองของโลกรองลงมาจาก Tesla ครับ ส่วนพี่โตนั้นร่วงไปเยอะแล้ว เอาล่ะ เรามาดูกันว่า Volkswagen นั้นมีบริษัทลูกอะไรอยู่ในมือบ้างกันนะครับ

ถ้ามองจากภาพด้านบนแล้วจะเห็นได้ชัดว่า Volkswagen นั้นเป็นเครือที่ใหญ่มากๆ เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อรถยนต์ฝั่งยุโรปที่เหนือกว่า Benz หรือ BMW ไปแล้วครับ

ที่ผ่านมานั้น Volkswagen ได้หันมาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2012 แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยปี 2012 นั้น Volkswagen ได้เปิดตัว Volkswagen e-golf ซึ่งมีแบตอยู่เพียง 24.2 kWh ซึ่งน้อยกว่า MG ZS EV ในปัจจุบันถึง 2 เท่าตัว

ถัดมาอีกหน่อยนั้น Volkswagen ก็ได้แบร์นดในเครือออกมาทำตลาดแข่งกับ Tesla Model X ดูบ้าง โดยการส่ง Audi E-tron 55 quattro ออกมาในปี 2018 แต่ยอดขายก็ไม่ปังเท่าที่ควร

ทำให้เครือ Volkswagen เล็งเห็นว่าจะต้องทำอะไรซักอย่างแล้วไม่งั้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า(หรู)อาจจะโดนเทสล่าแย่งไปก็เป็นได้ ทำให้เค้าจึงส่ง Porsche Taycan มาลงตลาดรถยนต์หรูแข่งกับ Tesla Model S ครับ

แต่ Volkswagen ก็คิดว่ารุ่นเดียวคงไม่พอก็เลยส่ง Audi E-tron GT มาประกบเพื่อหวังแย่งชิงลูกค้าที่รักรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla กลับมาอยู่กับตน แต่ที่ไหนได้ตอนนี้รู้สึกว่ายอดขายรถยนต์น้ำมันหดตัวลงเพราะลูกค้าที่คิดว่ากำลังจะเปลี่ยนรถยนต์น้ำมันคันใหม่ดันมาเห็น Audi E-tron GT คันนี้ทำให้เค้าเปลี่ยนใจมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันแทนนะครับ

จริงๆ แล้วปีนี้เป็นปีที่ Volkswagen ได้ทำการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า Volkswagen ID.3 และเริ่มเอา ID.4 มาให้คนทั่วไปได้ทดสอบกันแล้วนะครับ

ดังนั้นเรียกได้ว่า Volkswagen เตรียมเอาจริงกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นยังไม่ได้ใช้แบตเตอรี่ตัวใหม่ของ Volkswagen ที่ได้นำออกมาโชว์ในงาน Power Day นะครับ

หมายเหตุ : ตั้งแต่ปี 2012 ถึงปี 2021 นั้น จริงๆแล้ว Volkswagen เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่านี้ครับ เพียงแต่ผมเอาแต่รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมในตลาดรถยนต์มาโชว์เท่านั้นเองนะครับ

สรุปงาน Power Day

  • ใช้เทคโนโลยี unified cell เพื่อลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ลงไปถึง 50 %
  • แบตรีไซเคิลได้ถึง 95 % แล้ว และก่อนถึงขั้นตอนรีไซเคิลนั้น แบตจะถูกนำมาใช้เป็น second life battery สำหรับสำรองไฟฟ้าภายในบ้าน
  • Volkswagen เตรียมสร้างโรงงานผลิตแบตที่มีกำลังผลิตแบตอยู่ที่ 240 GWh ภายในปี 2030 นี้
  • Volkswagen เตรียมใช้แบต solid state ในปี 2025
  • รถยนต์ไฟฟ้าในเครือ Volkswagen ทุกคันจะมีฟังชั่น V2G หรือ Vehicle to Grid ซึ่งสามารถจ่ายไฟจากรถกลับไปยังบ้านช่วงไฟดับ, peak hour, และการใช้งานไฟฟ้าด้านอื่นๆครับ
  • Charging Network – Volkswagen เตรียมจับมือกับปั้มน้ำมันทั่วยุโรปให้หันมาสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในปั้มของตน ตอนนี้ได้ BP ซึ่งเป็นปั้มน้ำมันรายใหญ่ของทวีปมาช่วยสร้าง
  • หุ่นยนต์ charging robot – หุ่นยนต์ที่จะสามารถเดินเข้าไปชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของคุณได้เหมือนการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าปกติ เหมาะสำหรับที่จอดรถที่ไม่มีที่ชาร์จไฟและพอชาร์จเสร็จ หุ่นยนต์ก็จะเดินไปชาร์จรถคันอื่นต่อ

อย่างไรก็ตาม ผมจะทำโพสเกี่ยวกับ Power Day แยกกันออกไปตามหัวข้อเรื่องนะครับ อย่างโพสนี้จะเป็นเรื่องการลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าของ Volkswagen กันก่อนนะครับ

ลดต้นทุนการผลิตแบตไปได้ถึง 50 %

Volkswagen ได้แจ้งว่า เค้าสามารถลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ได้มากถึง 50 % โดยการลดต้นทุนการผลิตต่างๆ ดังนี้

  • Cell Design (การออกแบบเซลแบต) ลดได้ 15 %
  • Production Process (การผลิตแบต) ลดได้ถึง 10 %
  • Cathode / Anode Material (วัสดุอย่างคาโธดและอาโหนด) ลดได้ถึง 20 %
  • Battery System Concept (ระบบแบตแบบใหม่ทั้งหมด) ลดได้ถึง 5 %

โดย Volkswagen ให้สัญญาว่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถขายให้กับคนทุกชนชั้นได้(กวาดตลาด eco car ไปด้วย) เพราะจริงๆ แล้ว ทุกวันนี้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีต้นทุนแบตรวมอยู่ถึง 50 % ถ้าลดต้นทุนแบตลงไปได้ 50 % ล่ะก็แสดงว่าต้นทุนแบตจริงๆ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะเหลืออยู่เพียง 25 % เท่านั้น ซึ่งถ้าทำได้จริง มันจะทำให้เราสามารถขับรถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งได้มากกว่า 500 km ในราคาแถวๆ 800.000 บาท ต่อคัน (ผมหมายถึงที่ต่างประเทศนะครับ ส่วนไทยนั้นต้องใส่กำแพงภาษี 200 % เข้าไปหน่อย ก็จะประมาณ 2-3 ล้านบาทแหละครับ)

ดังนั้นเค้ามองว่าเค้าจะต้องลดต้นทุนการผลิตแบตให้จงได้ ซึ่งถ้าตามสูตรของ Volkswagen อันนี้แล้วเค้าตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะลดต้นทุนการผลิตแบตไปให้ต่ำกว่า 100 ยูโรต่อ kWh หรือ 3,700 บาทต่อ kWh ซึ่งถ้ามองกันตามเนื้อผ้าแล้วทำได้ภายใน 3 ปีนี้แน่นอนเพราะ Volkswagen นั้นเอาจริงโดยการจับมือกับ NorthVolt ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเอาไว้อีกด้วย

คราวนี้ คำถามคือว่า แบตราคาต่ำกว่า 100 ยูโรต่อ kWh หรือ 3,700 บาทต่อ kWh หน้าตาเป็นยังไงแล้วมีผลอะไรกับการซื้อขายรถ ลองคิดตามผมง่ายๆ นะครับว่า MG ZS EV มีแบต 44.5 kWh ซึ่งตีเป็น 45 kWh ไปเลยก็ได้ครับ

เอาล่ะ ถ้าต้นทุนของ Volkswagen ลดลงเหลือ kWh ล่ะ 3,700 บาทจริงๆ แล้วล่ะก็ แบตขนาด 45 kWh จะมีต้นทุนประมาณ 166,000 บาทครับ ซึ่งถือว่าถูกมากๆ คิดดูสิครับว่าแบตแพ๊คนึงใช้งานได้ประมาณ 1,500 – 2,000 life cycle หรือตีเป็นไมล์รถก็ประมาณ 450,000 – 600,000 km (รถยนต์ไฟฟ้า mg zs ev)

ดังนั้นหลังปี 2023 ไป ใครจะเปลี่ยนแบตรถยนต์ไฟฟ้าแพ๊คใหม่ก็จะเสียเงินน้อยกว่านี้(เรื่อยๆ)ครับ ใครมองภาพไม่ออกให้นึกถึง Hard Disk Drive ที่มีราคาถูกลงทุกๆ ปีและหน่วยความจำก็เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี

BLINK DRIVE TAKE

Section ถัดไปนั้นจะเป็นเรื่องประเภทแบตเตอรี่ทั้ง 4 ประเภทที่ Volkswagen จะนำมาขายให้กับลูกค้านะครับ เดี๋ยวผมจะพยายามทยอยเขียนโพสเหล่านี้ออกมาให้เพจ Blink Drive และทำการ update โพสถัดไปให้อ่านตรงนี้ครับ

สำหรับใครอยากเรียนลัดเกี่ยวกับเรื่อง volkswagen : power day ก่อนผมเขียนโพสนี้ก็สามารถไปดูข้อมูลจากคุณไช้ (Model 3 Owner) ได้ในคลิปด้านล่างนี้เลยครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันที่ THE FORTRESS

Follow by Email