Site icon Blink Drive

มองดูกันว่าประเทศไหนประกาศหยุดการขายรถยนต์น้ำมันภายในปี 2040 กันบ้าง

นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่เร็วกันอย่างมากเลยน่ะครับ เพราะอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้จะเริ่มมีการแบนการขายรถยนต์น้ำมันแบบจริงจังกันแล้วสิครับ นั่นก็แปลว่าประเทศนั้นจะเป็นประเทศปราศจากปั้มน้ำมันหลังจากนั้นด้วยครับ

เดี๋ยวเรามาเริ่มกันที่ทวีปยุโรปกันก่อนเลยน่ะครับ ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมานั้น ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากินส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ทั้งประเทศอังกฤษอยู่ที่ 16 % และ 20 % ในประเทศเยอรมัน ส่วนนอร์เวย์นั้นมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดรถยนต์มากถึง 80 % ซึ่งนั้นเป็นตัวส่งสัญญาณว่ารถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะครองยุโรปในไม่ช้าครับ

ถ้าดูกันตามภาพที่ผมได้มาจากเว็บ Al Jazeera นั้นจะเห็นได้ว่า ประเทศนอร์เวย์แบนรถยนต์น้ำมันภายในปี 2025 หรืออีก 4 ปีจากนี้ครับ ถัดมาก็เป็น อังกฤษ, ไอซ์แลนด์, ไอแลนด์, และอิสราเอล ที่จะทำการแบนภายในปี 2030 ถัดมาอีกหน่อยก็เป็นประเทศฝรั่งเศส,สเปน, ศรีลังกาและสิงคโปร์ที่จะทำการแบนภายในปี 2040 เอาจริงๆ จะมีประเทศอินเดียและแคนาดาอีกน่ะครับ แต่แผนที่แผ่นนี้น่าจะทำข้อมูลมาไม่ครบครับ

อ้างอิงข้อมูลจาก BloombergNEF ( Al Jazeera ) ราคาแบตเตอรี่ lithium-ion นั้นมีราคาลดลงถึง 87 % จากเมื่อปี 2010 ถึงปี 2019 ทำให้ผู้เล่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในปี 2019 ที่ผ่านมาครับ โดยผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าบางรายได้เริ่มตั้งเป้าผลิตแบตในราคาที่ต่ำกว่า $100 ต่อ kWh (3,100 บาท) กันแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นประตูเปิดทางให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าในราคาชนรถยนต์น้ำมันภายใน 4-5 ปีจากนี้ครับ

Ramez Naam นักวิเคราะห์พลังงานชาวอเมริกาได้ออกมากล่าวผ่าน Outrage and Optimism podcast ว่า “ไม่มีใครอยากให้การเปลี่ยนถ่ายจากรถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามันเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้หรอก ตอนนี้เศษรฐกิจโลกกำลังปั่นป่วนจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ไม่สามารถขายแพงได้อีกแล้ว หรือราคาพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมหรือแผงแสงอาทิตย์ที่มีราคาถูกลงทุกวันๆ เพราะมีเทคโนโลยีในการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนนี้กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะต้องเจ็บตัวหนักหลังจากนี้ไปคือกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์(automative) และปิโตรเลี่ยม (fossil fuel )ซึ่งมันเกิดขึ้นจริงแล้ว และบอกตรงๆ เลย รถยนต์ ICE (internal combustion engine) หรือรถยนต์น้ำมันนั้นตายยกชุด จริงๆ ตาย ๆๆๆ แบบไม่ผุดไม่เกิดแน่นอน”

[Muaz Kory/Al Jazeera]

ส่วนข้อมูลอีกชุดก็มาจาก Tony Seba กูรูนักวิเคราะห์ชั้นแนวหน้าของสหรัฐ เค้าเคยพยากรณ์เอาไว้ว่า จุดจบรถยนต์น้ำมันจะอยู่ที่ปี 2030 นักวิเคราะห์ท่านนี้น่าจะหัวรุนแรงไปนิดน่ะครับเพราะปี 2030 นั้นคงเป็นไปได้ยากสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาครับ

ที่มา : เว็บ Al Jazeera

BLINK DRIVE TAKE

คำว่า บูม ในเชิงฝรั่งนั้นเค้าใช้คำว่า “tipping point” หรือ “killer app” ครับหรือจะแปลว่าจุดเปลี่ยนพลิกผัน อย่างไรก็ตามตอนนี้ประเทศที่จะกลายเป็นประเทศไร้มลพิษทางถนนเป็นแห่งแรกของโลกน่าจะเป็นประเทศนอร์เวย์แหละครับ เพราะว่าประเทศนี้มีอัตราการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าต่อจำนวนประชากรเยอะที่สุดในโลกในตอนนี้ครับ โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากินส่วนแบ่งในประเทศไปถึง 80 % แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การคมนาคมของทุกประเทศบนโลกจะค่อยๆเปลี่ยนถ่ายไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในที่สุดครับ มีเพียงประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศที่จะเจออุปสรรคหลายอย่างในการเปลี่ยนถ่ายครับ

แต่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประชาชนเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบบูมคือ ราคาแบต ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าราคาแบตเตอรี่จะมีราคาถูกลงภายใน 3-4 ปีนี้ครับ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาชนกับรถยนต์น้ำมัน

แต่ถึงอย่างว่าแหละครับ ประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศก็มองว่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและพยายามสร้างกำแพงภาษีมาดันไม่ให้รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla เข้ามาในประเทศไทยได้อย่างง่ายดายหรือราคาถูกแหละครับ

ก่อนจากกันนี้ผมขอทิ้งข้อความนึงจาก Ramez ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์พลังงานอันดับต้นๆ ของโลกเอาไว้น่ะครับ

The final word

And so you have to ask yourself … am I the CEO of an oil and gas company or the CEO of an energy company? Because the first one is doomed. The second one, there’s massive growth, for the world’s going to use much more energy in 2050. But it’s going to be clean energy.

(แปล) คุณลองตั้งคำถามให้กับตัวเองน่ะครับว่า ตอนนี้คุณเป็น CEO หรือนักลงทุนฝั่งไหนกันอยู่แน่ระหว่างปิโตรเลี่ยมหรือผลิตพลังงาน ถ้าคุณเป็นอย่างแรกก็ดูม(Doomed)จบไม่สวยอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็ยินดีด้วยครับ เพราะโลกหลังจากปี 2050 เป็นต้นไปนั้นจะใช้พลังงานสะอาดกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

RAMEZ NAAM, ENERGY ANALYST

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Exit mobile version