1. ฟังเพลงผ่าน spotify
2. ดูหนังผ่าน Netflix, ดูคลิปจาก youtube
เปลี่ยนรถของคุณให้กลายเป็นโรงหนังเคลื่อนที่กันไปเลยครับ โดยฟีเจอร์นี้ทำงานเหมือน iphone, ipad ของคุณคือ เพียงคุณ ใส่รหัส user, password ของตัวเองลงไปก็สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้เลย ส่วนการใช้งาน theater mode (โหมดโรงภาพยนตร์)นั้นมีเงื่อนไขเดียวคือ รถต้องจอดสนิทคือใส่ตัว P ทิ้งเอาไว้ครับ
โหมดนี้ไม่เพียงจะให้ดู netflix หรือ youtube ได้เท่านั้นแต่ยังสามารถดูทีวีโดยตรงจาก HBO Go, CNN, hulu, Pluto TV, ดูถ่ายทอดสดกีฬาทุกประเภทผ่าน ESPN หรือสารคดี online ได้อีกด้วยครับ
เป็นฟีเจอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ปกครองนั่งรอรับบุตรหลานที่โรงเรียนหรือชายใดที่กำลังไปนั่งรอแฟนทำผม, ซื้อของที่ห้างครับ
3. web browser : google chrome บนรถได้เลย
ในขณะที่เราติดไฟแดงหรือกำลังหาข้อมูลอะไรซักอย่าง ก็ไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาให้เสียสมาธิครับ เราสามารถกดเปิด web browser ขึ้นมาได้เลย
4. เปิด Tesla Map ได้
ผมมองว่าฟีเจอร์นี้ควรจะมีติดรถมาให้ทุกคันน่ะครับ โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีราคาแพงกว่า 1 ล้านบาท เพราะผมมองว่ารถทุกคันนั้นต้องพึ่งพา GPS ในการขับ เวลาเราขับออกนอกเส้นทางกันแหละครับ แต่ของ Tesla นั้นแถมมาให้ตั้งแต่ปี 2012 แล้ว(ติดมากับ Tesla Model S) และพัฒนามาเกือบ 10 ปีแล้วครับ ดังนั้นความไวในการตอบสนองและใช้งานนั้นไม่ต่างอะไรกับ Apple Map หรือ Google Map เลย
5. โหมดเกมส์
Beach Buggy Racing 2
เกมส์ในรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 นั้นมีเยอะมากๆ ครับ เริ่มต้นก็เป็นเกมส์แนวขับรถแข่งคือ Beach Buggy Racing 2 ครับที่ Tesla ไปซื้อลิขสิทธิ์มาเลยทีเดียว
Cuphead
อีกเกมส์ก็เป็น Cup Head ครับซึ่งเป็นเกมส์แนวผจญภัยซึ่งต้องใช้จอยเกมส์(เชื่อมต่อจอยเกมส์ x-box หรือ PS4 ได้ทันที)น่ะครับ โดยคุณตามช่อง (Bjørn Nyland) ได้ทำการรีวิวเกมส์เหล่านี้ออกมา(ด้านล่างนี้แล้วครับ)
เกมส์หมากรุก
สำหรับใครที่ชอบเกมส์วางแผนหรือใช้สมองก็จะมีเกมส์หมากรุกเอาไว้เล่นแก้เซ็งกับเพื่อนๆ เวลารถติดน่ะครับ
Stardew Valley game
อารมณ์เกมส์นี้จะเหมือนเกมส์ Harvest Moon ที่เราเคยเล่นกันใน play station น่ะครับ
6. วาดรูปบนจอได้เหมือน ipad
ผมเคยไปทดสอบ feature นี้ในศูนย์ Tesla มาแล้วน่ะครับ โดยรวมนั้นการตอบสนองไม่ต่างอะไรจาก ipad Pro เลยครับ เขียนง่ายมากๆ เหมาะแก่การระบายสี, จด note, หรือวาดรูปเล่นครับผม
7. Sentry Mode
ถ้าใครใช้งาน Dash Cam (กล้องบันทึกภาพหน้ารถ) ก็จะเข้าใจการทำงานของโหมดนี้ดีน่ะครับ ผมแปลกใจมากๆ ว่าทำไมค่ายรถยนต์ต่างๆ ถึงไม่แถวฟีเจอร์นี้มาแบบมาตราฐานเลย ของ Tesla นั้นรถทุกคันจะสามารถเปิด Sentry Mode ได้โดยไม่ต้องเสียเงินติดตั้งกล้องเพิ่มเลยครับ
โดยกล้องจะบันทึกภาพวิดีโอรอบรถ(กล้อง 4 ตัว) ได้ทั้งตอนขับและจอดอยู่กับที่เพื่อป้องกันเหตุอันตราย แต่ผู้ใช้งานต้องซื้อหน่วยความจำมาใส่เองน่ะครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบโหมดนี้ในรถยนต์ไฟฟ้า Tesla คือเราสามารถกดดูคลิปได้ผ่านมือถือหรือผ่านหน้าจอของรถได้เลย จริงๆ มันควรเป็นฟีเจอร์มาตราฐานของรถยนต์ที่มีราคาเกิน 1 ล้านบาทในปี 2020 ได้แล้วน่ะครับ
8. Dog Mode
ผมต้องบอกเอาไว้ก่อนว่าคนอเมริกานั้นเลี้ยงหมาแบบพระราชาจริงๆครับ โดยอพาร์ทเมนท์ทุกแห่งในประเทศนั้นต้องสามารถรองรับการอยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงเช่น หมาหรือแมวได้ โดยค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นไปอีก $50-$100 ต่อเดือน(1,500 – 3,000 บาทต่อเดือน)ในกรณีคุณเอาหมามาอยู่ด้วย และเท่าที่ผมเห็นมาคือคนอเมริกาส่วนใหญ่เกินครึ่งมีหมาหรือแมวไว้ที่บ้านตลอด ดังนั้นไม่แปลกครับที่เค้าจะดูแลสัตว์เลี้ยงของเค้าเหมือนพระราชา
โดยหมานั้นจะติดตามเจ้าของไปได้เกือบทุกที่แต่บางสถานีที่ เช่น ห้าง, ร้านอาหาร, ร้านตัดผม, ไปรษณีย์, เป็นต้น เค้าไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไป ยกเว้นแต่ว่าจะเป็น Therapy dog ซึ่งผู้เลี้ยงต้องมีบัตรรับรองว่าหมาตัวนั้นเป็นTherapy dogครับ ไม่งั้นต้องปล่อยสุนัขเอาไว้ในรถ
คราวนี้จะเอาสุนัขไว้ในรถช่วง Summer (หน้าร้อน) ที่อากาศร้อนถึง 36 องศาเซลเซียสคงไม่ไหวมั้งครับ(ผิดกฏหมายน่ะครับ ถ้าเอาสุนัขทิ้งไว้ในรถแล้วไม่เปิดเแอร์)
แต่ถ้าถ้าสตาร์ทรถทิ้งเอาไว้โดยไม่มีคนอยู่ในรถก็ผิดกฏหมายอีกครับ (car idling สตาร์ทรถทิ้งเอาไว้ในที่จอดรถโดยปรับอย่างต่ำ $250 หรือ 7,500 บาท) ดังนั้น Tesla จึงเป็นบริษัทเดียวในโลกที่มีโหมดเอาใจคนเลี้ยงสุนัขครับ
โหมดนี้เรียกว่า Dog Mode ครับ โดยเจ้าของรถจะกดเปิดโหมดนี้ทิ้งเอาไว้และไปซื้อของได้เลย แถมหน้าจอจะเขียนว่า “My owner will be back soon” แปล เดี๋ยวเจ้านายผมก็กลับมา ซึ่งทางรัฐบาลได้อนุญาตให้ Tesla ใช้โหมดนี้ในการปล่อยสุนัขเอาไว้ในรถโดยถูกต้องตามกฏหมาย เนื่องจาก
- เปิดแอร์ โดยไม่สตารท์เครื่อง – ไม่สร้างมลพิษในที่จอดรถ
- ไม่ทำร้ายสัตว์ – สุนัขอยู่ในห้องอุณหภูมิที่เหมาะสมตลอดเวลา
เอาใจลูกค้าสุดๆ ไปเลยครับ จริงๆ รถยนต์คันล่ะ 2 ล้านบาทที่ไทยควรจะนำโหมดนี้มาติดตั้งได้แล้วน่ะครับ เพราะคนที่มีเงินระดับนั้นแล้ว เค้าเลี้ยงสุนัขและอาจจะพาสุนัขออกไปข้างนอกเหมือนคนอเมริกาจริงๆ ครับ
9. สั่งการเปิด-ปิดรถจากมือถือ
ที่ผมเคยเห็นคือ คุณตามช่อง Teslabjorn Thai นั่งอยู่ใน MG ZS EV ที่เมืองไทย แต่สั่งการปลดล๊อครถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ที่นอร์เวย์ โดยเพื่อนฝรั่งเค้านั้นไม่มีกุญแจรถคันนี้เลย คุณตามเพียงแต่สั่งการผ่าน internet เพื่อทำการปลดล๊อคและสตาร์ทรถให้เพื่อนเค้าขับน่ะครับ
คุณคิดเหมือนผมไหมครับว่า รถยนต์ราคา 1.2 ล้านบาทแถมเป็นระบบไฟฟ้าแบบนี้ทำได้ ทำไมรถยนต์น้ำมันคันล่ะ 1.5 – 2 ล้านบาทถึงไม่แถมระบบแบบนี้มาด้วยครับ เพราะบางทีพ่อเราจะมาใช้งานรถต่อแต่เราเผลอถือกุญแจออกไปนอกบ้านเสียแล้ว หรือว่าเราอยากจะฝากเพื่อนขับรถเราไปล้างแต่กุญแจดันอยู่กับเราแบบนี้น่ะครับ
ผมมองว่า ฟีเจอร์นี้ควรจะติดตั้งในรถยนต์ได้แล้วเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานครับ ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้นฟังในคลิปได้เลยครับ คุณตามอธิบายเอาไว้ละเอียดมากๆ
10. Update OTA
จะเป็นอย่างไรครับ ถ้ารถคุณสามารถฉลาดขึ้นได้ทุกวัน และไม่ว่าคุณจะซื้อรถมาเมื่อไหร่ก็สามารถทำให้รถคุณนั้นมีฟังชั่นการใช้งานเหมือนรถคันใหม่อยู่เสมอ
Tesla ได้ทำการสร้างระบบ Update OTA (Over The Air) ขึ้นมา ซึ่งพูดง่ายๆ มันคือ การ update เหมือนกับพวก android กับ iphone ทุกๆ ครั้งที่ทางศูนย์ใหญ่ปล่อยตัว update ออกมาครับ
ในขณะที่รถยนต์น้ำมัน Hybrid คันล่ะ 1.2 ล้านบาทนั้นยังต้องพึ่งศูนย์ให้บริการกันอยู่เลยครับ อย่างรถ Hybrid ที่ผมขับนั้นมีปัญหาเรื่อง HEV system (Hybrid Battery) ซึ่งศูนย์ใช้เวลาเขียน code เพื่อทำการ update อยู่ประมาณ 4 เดือนเต็มๆ และใช้เวลาในการ update ประมาณ 30 ชั่วโมงคือ ผมต้องเอารถไปทิ้งที่ศูนย์และต่อคิวเพื่อให้พนักงานทำการ upload software เข้าไปยังตัวรถ ซึ่งลำบากทั้งเจ้าของรถและพนักงานในนั้นครับ
ของ Tesla นั้นแค่คุณกลับบ้านมาเสียบชาร์จรถเอาไว้ พอถึงเวลาเที่ยงคืน รถก็ทำการ update firmware ใหม่หมดครับ โดย programmer ของ Tesla นั้นทำงานไวมากๆ มี bug นิดหน่อย เค้าใช้เวลา 3-4 วันทำการ update เสร็จแล้วครับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยคือ คนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ไปตอนปี 2018 นั้นไม่มีเกมส์แถมมาให้น่ะครับ แต่พอทำการ update V.10 เข้าไปทั้งเกมส์, app และฟังชั่นการใช้งานต่างๆ นั้นเปลี่ยนใหม่หมดเลยครับ
11. Auto Pilot
หลายคนพอได้ฟังคำนี้นั้นก็บอกว่า เห้ยรถขับเองให้เลย แบบนี้เวลาชนขึ้นมาก็ไปเคลมกับบริษัท Tesla สิ
จริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะครับ ระบบ auto-pilot ของ Tesla นั้นเป็น Level 3 ครับ ซึ่งจะช่วยขับระดับหนึ่งคือ ประคองพวงมาลัย, เลี้ยวให้, แซงรถคันหน้าได้, และหยุดกระทันหันในกรณีรถตัดหน้าได้ แต่ไม่สามารถขับแทนให้ 100 % ครับ คนขับต้องจับพวงมาลัยตลอดเวลาครับผม
ผมได้มีโอกาสไปเจอคนขับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 คนนึงเข้าแล้วเค้าก็ให้ผมขึ้นรถเค้าไปเพื่อโชว์ประสิทธิภาพของ auto-pilot ครับ
หมายเหตุ : ใครอยากใช้งานโหมดนี้ต้องเสียเงินสั่งซื้อระบบ FSD (Full Self Driving) ที่มีมูลค่าถึง $5,000 (150,000 บาท)ไปนะครับ พวกเค้าถึงจะสามารถ activate(เปิดการใช้งาน)ระบบนี้ได้
12. คาราโอเกะ
เทสล่าเรียกโหมดนี้ว่า คาร์ โอ เกะ ซึ่งโหมดนี้จะเปลี่ยนหน้าจอของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเนื้อร้องภาษาอังกฤษและเล่นเพลงพร้อมตัวหนังสือไปพร้อมๆ กัน
13. Valet Mode
โหมดนี้เป็นโหมดสำหรับคนที่ต้องเอารถไปจอดตามหน้าร้านอาหารหรูต่างๆ แล้วมีเด็กรับรถมาเอารถไปเก็บน่ะครับ โดยโหมดนี้จะทำการล๊อคอัตราเร่ง, ความเร็วรถ, และการใช้งานต่างๆ ทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กรับรถเอารถไปเหยียบอัดทดสอบความเร็วในการเข้าจอดรถน่ะครับ
จริงๆ พวกรถยนต์ราคา 1.5 ล้านบาทขึ้นไปอย่าง Toyota Camry หรือ Honda Accord ควรจะนำโหมดนี้มาติดตั้งได้แล้วแหละครับ เพราะเป็นโหมดสำหรับคนที่รักรถจริงๆ เราคงไม่ชอบให้ใครเอารถเราไปขับเล่นหรือขับแข่งกันในที่จอดรถจริงไหมครับ?
14. sleep mode(โหมดนอนในรถ)
รถยนต์ไฟฟ้านั้นแตกต่างจากรถยนต์น้ำมัน Hybrid หรือรถยนต์น้ำมันธรรมดาไปก็คือสามารถสตาร์ทรถโดยไม่ปล่อยมลพิษอะไรเลย ดังนั้นการนอนในรถยนต์ไฟฟ้าก็เหมือนการนอนในห้องแอร์ส่วนตัวแหละครับ
เราสามารถเลือกที่จะเปิดแอร์นอนกี่ชั่วโมงก็ได้โดยแบต 100 % ของ Tesla นั้นสามารถเปิดแอร์ทิ้งไว้ได้ประมาณ 5 วันเต็มๆ ครับ และคงไม่มีใครนอนเยอะขนาดนั้นจริงไหมครับ
แต่ถ้าเป็นรถยนต์น้ำมันแล้วไม่สามารถทำ sleep mode ได้ครับ
คราวนี้ถ้าเราไปเที่ยวภูเขา, หรือในป่าแล้วต้องหาที่นอนก็เพียงซื้อเจ้าเตียง(ในคลิปด้านล่าง)นี้ไปครับ แล้วก็ทำการกางและนอนเลย เชื่อว่าปลอดภัยกว่านอนในเต้นท์แน่นอนเพราะสัตว์ป่ามันไม่สามารถพุ่งเข้ามาในรถได้เหมือนในเต้นท์น่ะครับ
แถมเราสามารถเปิดแอร์นอนได้ทั้งคืนอีกด้วย
อยากให้รถยนต์น้ำมัน Hybrid ทำโหมดนี้ขึ้นมาครับ โหมดที่สามารถเปิดแอร์นอนได้อย่างต่ำ 8 ชั่วโมงก่อนเครื่องยนต์จะกลับมาทำงานน่ะครับ เอารถยนต์น้ำมัน hybrid คันล่ะ 1.2 ล้านบาทนี่แหละ ถ้าทำได้ผมจะช่วยโฆษณาให้น่ะครับ
15. ห้องเก็บของหน้ารถ(Frunk)
ด้วยความที่ว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่มีเครื่องยนต์อันใหญ่โตเหมือนรถยนต์น้ำมัน ดังนั้นพื้นที่ด้านหน้ารถจึงว่าทำให้เจ้าของสามารถเอาของมีค่าเก็บเอาไว้ได้น่ะครับ
ส่วนด้านหลังรถก็มีพื้นที่เหลือเยอะมากๆ เพราะไม่มีถังน้ำมันให้เปลืองพื้นที่แหละครับ
โดยพื้นที่เก็บสัมภาระโดยรวม(หน้าและหลัง)ของ Tesla Model 3 นั้นมีมากถึง 424 ลิตรมากกว่า Honda Civic ที่มีพื้นที่บรรจุสัมภาระด้านท้ายเพียง 414 ลิตร
ที่มาพื้นที่บรรจุสัมภาระด้านท้าย Honda Civic : autostation
ที่มาพื้นที่บรรจุสัมภาระด้านหน้าและท้าย Tesla Model 3 : like tesla
BLINK DRIVE TAKE
ผมคิดว่า ต่อให้ไทยพยายามกีดกันรถยนต์ไฟฟ้าโดยตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงๆ (ที่มา : line today) โดยการบอกว่าตั้งกำแพงภาษีกันรถยนต์ไฟฟ้านำเข้า แต่ตัวเองไม่เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของตนเองก็เหมือน “กั๊ก” ไม่ให้ประชาชนได้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอยู่น่ะครับ
ต่อให้ทำแบบนั้นก็จริง เราเพียงแต่ถ่วงเวลาในการผลิตรถยนต์น้ำมันออกไป แต่ตลาดรถยนต์ต่างประเทศนั้นไม่ได้เดินตามไทยแหละครับ
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ผลิตไทยยังยืนยันที่จะผลิตรถยนต์น้ำมันต่อไปแบบนี้ ผมมองว่า สิ่งเดียวที่จะทำให้ผู้ผลิตไทยสามารถขายรถยนต์น้ำมันต่อได้คือเอาฟีเจอร์พวกนี้ใส่เข้าไปในรถด้วยเถอะครับ และผมจะช่วยเชียร์รถยนต์น้ำมัน Hybrid อีกแรงครับ
รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ราคา 1.2 ล้านบาท($40,000) นั้นมีฟีเจอร์มากกว่า 15 อย่างที่รถยนต์น้ำมันราคาแพงถึง 2 ล้านบาทยังไม่มีกันเลย (อ้างอิงข้อมูลที่ผมกล่าวมาทั้งหมด) ผมคิดว่า ถ้าเราอยากขายรถยนต์ให้ได้ดีกว่า Tesla หรือเทียบเท่า Tesla เราควรจะเริ่มเปลี่ยนแปลงการพัฒนารถยนต์กันได้แล้วครับ