Blink Blink
News

รถยนต์ไฟฟ้าหรือหุ่นยนต์กันแน่ที่ทำให้คนตกงาน?

อ้างอิงจากข้อมูลของ Oxford Economics นั้น ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกเตรียมนำหุ่นยนต์มาใช้แทนคนถึง 8.5 % หรือเท่ากับ 14 ล้านคนในประเทศจีนเพียงประเทศเดียว(ยังไม่รวมประเทศอื่นๆ เลย)

ณ ปัจจุบันปี 2020 นั้น แรงงานทั่วโลกได้ถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์มากถึง 2.25 ล้านคนไปแล้วซึ่งจำนวนการเลิกจ้างงานนี้มากกว่าเมื่อตอน 20 ปีก่อนถึง 3 เท่าตัวและมากกว่าปี 2010 ถึง 2 เท่าตัว

อ้างอิงจากเอกสารของ Oxford Economics นั้นจีนจะเป็นผู้นำการใช้งาน robot(หุ่นยนต์)ในทุกๆ ธุรกิจโดยเค้าตั้งเป้าว่า คนงาน 3 คนจะมี robot ทำงานอยู่ 1 ตัว โดยโลกเราได้หมุนไปเร็วมากกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้เพราะหุ่นยนต์นั้นเพิ่งได้เข้ามามีบทบาทกับอุตสาหกรรมต่างๆ บนโลกในปี 2004 เท่านั้น(16 ปีที่แล้ว) แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า คนกำลังจะตกงานกันมากขึ้น

รูปภาพ : หุ่นยนต์ robot arm ของ Toyota

คนตกงาน 20 ล้านคนปี 2030

จากข้อมูลของสหรัฐนั้นเค้าได้พยากรณ์เอาไว้ว่าภายในปี 2030 นั้นคนอเมริกาจะถุกหุ่นยนต์แย่งงานไปถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง , จีนจะถูกแย่งงานไปถึง 12.5 ตำแหน่ง, ยุโรปจะถูกแย่งงานไป 2 ล้านตำแหน่ง, ส่วนเกาหลีใต้จะถูกแย่งงานไปอย่างน้อย 800,000 ตำแหน่ง ส่วนทั่วโลกก็จะถูกแย่งงานไปอย่างน้อย 3 ล้านตำแหน่ง

ทำไมถึงใช้หุ่นยนต์?

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2000 หรือ 20 ปีที่แล้ว คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาหุ่นยนต์มาทำงานแทนคนเพราะเทคโนโลยีต่างๆ ยังราคาแพงอยู่ แถมค่าแรงสมัยนั้น(ต่อหัว)ยังถือว่าถูกกว่าตอนนี้มากๆ แต่หลังจากปี 2020 เป็นต้นไป AI จะมีราคาที่ถูกขึ้น, ผลิตง่ายขึ้นและทำงานได้รวดเร็วขึ้น แถมคนนั้นมีต้นทุนที่แพงขึ้นทุกวันนะครับ ผมจะแจกแจงเหตุผลในการที่ผู้ประกอบการหันไปใช้หุ่นยนต์กันมากขึ้นเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ

Robot ของบริษัท Tesla

1. ค่าแรงที่แพงขึ้นทุกวัน

อย่าลืมนะครับว่า เงินเฟ้อนั้นเพิ่มขึ้นทุกวัน ดังนั้นค่าใช้จ่ายของคนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทวันนี้ไม่เพียงพอที่จะให้คนๆ นึงอาศัยอยู่ในกรุงเทพได้อย่างอิสระแล้วนะครับ แต่ลองคิดกลับกันว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถ้าจ้างคนๆ นึงด้วยค่าแรงมากถึง 300 บาท รับรองว่ามีแต่คนแห่กันมาสมัครแน่นอน คราวนี้ให้มองว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ลูกจ้างจะขอให้นายจ้างจ่ายค่าแรงเพียง 300 บาทต่อวันก็ได้ไหมครับ? โจ๊กชามนึงในปี 2543 นั้นราคา 20 บาทก็ถือว่าแพงแล้ว โจ๊กชามนึงในปี 2563 นั้นราคา 40-50 บาทถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาซะงั้น ดังนั้นปี 2030 ไม่ต้องพูดถึงครับ โจ๊กชามล่ะ 100 บาทก็เป็นราคาที่ธรรมดาไปแล้ว แล้วคุณคิดว่าค่าแรงควรจะโดดไปเท่าไหร่ครับ? (ไม่ 500 บาทก็ 800 บาทเนอะ) แบบนี้จ่ายเงินครั้งเดียวซื้อ robot arm มาดีกว่าไหมครับ? ถ้าคุณเป็นนายจ้าง คุณจะเลือกที่จะจ้างคนวันล่ะ 500 – 800 บาทวันล่ะ 3,000 คน หรือซื้อ robot มาใช้งานแทนครับ

ผมมีกราฟให้ดูข้างล่างว่า ปี 2025 (หรืออีก 5 ปีจากนี้) เราจะเห็นได้ว่ามีหลายประเทศที่มี average global labor-cost saving (ค่าเฉลี่ยประหยัดเงิน)ทั้งโลก และจะเห็นได้ชัดว่าไทยนั้นอยู่เกือบจะถึงค่าเฉลี่ยอยู่แล้ว

ถ้าหลังปี 2025 ไปค่าแรงเหล่านี้มันขึ้นตามค่าครองชีพแน่นอนครับ ดังนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้คุณตกงาน ความจริงคือ นายจ้างต่างหากที่จะทำให้เราตกงานครับ เพราะเค้าไม่จ้างเราแน่นอนถ้าเราขอขึ้นค่าแรง

หมายเหตุ : Labor-cost savings from adoption of advanced industrial robots คือ ถ้าเปลี่ยนไปใช้งานหุ่นยนต์แล้วจะประหยัดเงินได้มากเท่าไหร่น่ะครับ โดยเกาหลีใต้ได้รับอันดับ 1 ส่วนไทยได้รับอันดับ 12 ครับ แต่ถ้าค่าเงินเฟ้อยังเป็นแบบนี้อยู่ ผมมองว่าไม่นานนายจ้างคงต้องมาหาหุ่นยนต์มาทำงานแทนบางตำแหน่งแล้วล่ะครับ

2. วันลาหยุด

หุ่นยนต์สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมงต่อวัน , 7 วันต่อสัปดาห์, และ 365 วันต่อปี แถมไม่ต้องลาป่วย, ลาไปคลอดลูก, ลาไปงานศพญาติ, ลาไปเที่ยวสงกรานต์, ลาไปเรียนหนังสือต่อ, หรือลาไปด้วยเหตุผลสารพัดนะครับ

แถม union (สหภาพแรงงานของอเมริกา)นั้น sensitive (อ่อนไหว) เรื่องพวกนี้มากๆ ถ้าคุณจ้างงานโดยไม่มีวันหยุดให้ลูกจ้างหรือขอให้ลูกจ้างทำงานโอที(over time) โดยลูกจ้างไม่ยอม เค้าก็สามารถสั่งปิดโรงงานคุณได้เลย

ดังนั้นการซื้อหุ่นยนต์มาทำงานแทนคนก็ตัดปัญหาเรื่องความยุ่งยากในเรื่องการจ่ายโอที, หรือการให้มาทำงานวันหยุดได้เลยนะครับ หรือเหตุการณ์ COVID-19 นั้น นายจ้างยังต้องจ่ายเงินให้กับพนักงานที่ไม่มาทำงานได้ตามปกติอีกน่ะครับ ที่อเมริกาเรียกโปรแกรมนี้ว่า unemployment benefits ครับ ซึ่งจะทำการจ่ายเงินให้ลูกจ้างอยู่บ้านเดือนล่ะ $1,200 หรือ 36,000 บาทครับ

3. ประท้วง

หุ่นยนต์มันไม่ประท้วงครับ ถ้าวันพรุ่งนี้เราเลิกใช้หุ่นยนต์ หุ่นยนต์มันก็ไม่มานั่งประท้วงหน้าโรงงานแน่นอนครับ ถ้าเราใช้งานมันหนักก็แค่ซ่อมมันซะ แต่คนนั้นมีจิตใจ, มีอารมณ์ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราโดนเอาเปรียบหรือกำลังโดนกดดันจากที่ทำงาน เช่น โดนโกงค่าจ้าง, โดนให้เรียกไปทำงานวันหยุด, โดนให้ทำงานล่วงเวลา, เป็นต้น

พวกเราก็รวมตัวกับเพื่อนๆในโรงงานแล้วก็ทำการประท้วงได้เลย แต่หุ่นยนต์มันไม่ทำแบบนั้นครับ ดังนั้น นายจ้างก็ตัดปัญหานี้ออกไปได้อีก 1 ปัญหา

4. หุ่นยนต์ราคาถูกลง

ในปี 2011 ถึง 2016 นั้นราคาหุ่นยนต์ได้ลดลงมากถึง 11 % เพราะการผลิตที่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้นและ processor (หน่วยประมวลผล) ที่ราคาถูกลงครับ คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้านั้นราคาเหล่านี้จะถูกกว่าการจ้างคนเป็นระยะเวลานานๆ ได้แน่นอนครับ

ณ ปี 1995 นั้นราคา Robot (หุ่นยนต์)อุตสาหกรรมตัวนึงจะอยู่แถวๆ $131,433 หรือ 4 ล้านบาท แต่กลายเป็นว่าในปี 2020 (ปีนี้)ราคาหุ่นยนต์หล่นไปที่ $20,000 หรือ 600,000 บาทเท่านั้นเอง แถมปี 2025 หรืออีก 5 ปีข้างหน้าราคาหุ่นยนต์จะถูกกว่าเดิมถึง 2 เท่าคือ $10,800 หรือประมาณ 330,000 บาท

ที่มา : usnews

รถยนต์ไฟฟ้าทำให้คนตกงาน?

อยากจะให้ทำความเข้าใจกันใหม่นะครับว่าคนที่ตกงานเพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีแค่หน่วยงานเดียวครับ นั่นก็คือ เครื่องยนต์ครับ อย่างที่รู้กันว่าเครื่องยนต์น้ำมันนั้นมีชิ้นส่วนมากกว่า 3,000 ชิ้นให้ซ่อมเล่นกันนะครับ ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ามีเพียง 18 ชิ้นเท่านั้น

อ้าวแล้วต้นทุนอะไหล่เหล่านี้ไปตกอยู่ที่ใครกันล่ะครับ ? ก็ประชาชนที่ซื้อไปนี่ยังไงล่ะครับ ที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนในการซื้อมาซ่อมตลอด 8-10 ปียังไงล่ะครับ

หมายเหตุ : รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ประกัน 160,000 km หรือ 8 ปีและเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าหลายคนนั้นยังไม่เคยเอารถเข้าศูนย์กันเลยตั้งแต่ซื้อรถกันมา ที่มา : รีวิวรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว 100,000 km!!!

คนตกงานนั้นมีเพียงแผนกเครื่องยนต์ครับ ส่วนแผนกทำสี, สร้างตัวถัง, สร้างชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในรถนั้นยังมีงานทำอยู่ครับ

แต่การที่ไทยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตเอารถยนต์ไฟฟ้ามาผลิตและขายในไทยนั้นจะทำให้แผนกอื่นๆ ที่ไม่ใช่แผนกเครื่องยนต์เค้าตกงานกันนะครับ เพราะยอดขายรถยนต์ลดลง การผลิตตัวถังหรือเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ในรถก็ลดลงเช่นกันครับ ในเมื่องานน้อยลงก็ต้อง lay off คนออก แต่ถ้าเปิดตลาดให้รถยนต์ไฟฟ้าได้เข้ามาผลิตในประเทศควบคู่กับรถยนต์น้ำมันก็เท่ากับสร้างงานให้กับคนที่ทำตัวถังและเฟอร์นิเจอร์ภายในและภายนอกของรถให้อยู่ต่อไปได้ครับ

ยิ่งหลัง COVID-19 นี่ยิ่งโหดร้ายเข้าไปใหญ่เพราะต่างประเทศเค้าหันไปสนใจรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้นแล้วครับ ทำให้ใบสั่งจองรถยนต์น้ำมันนั้นดิ่งเหวกันเลยทีเดียว

หมายเหตุ : ใครมีใบสั่งจองรถยนต์น้ำมันจากต่างประเทศฺว่าเค้าต้องการสั่งซื้อรถยนต์น้ำมันหลัง COVID-19 จบก็ส่งมาให้ผมอ่านได้ที่ BLINK DRIVE facebook fan page นะครับ ผมจะช่วยเผยแพร่ให้ครับ

ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งแรงขึ้น

เยอรมันได้แจ้ว่า ปีที่ผ่านมานั้นมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในสูงถึง 1.8 % เท่านั้นในหมวดหมู่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล(passenger car) โดยประกอบไปด้วยรถยนต์น้ำมันดีเซล 32 % และรถยนต์น้ำมันเบนซิน 59.2 %

แต่มาในเดือนพฤษภาคม 2563 นี้, ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั้นอยู่ที่ 168,148 คันโดย 5,578 คันหรือคิดเป็น 3.3 % นั้นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด (อ้างอิงข้อมูลจาก German vehicle agency KBA)

บางคนบอกว่า แค่ 1.8 % –> 3.3 % เองนะครับ แต่ถ้าดูดีๆแล้วมันคือ 200 % จากยอดเดิมน่ะครับ แถม Tesla เพิ่งไปสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เยอรมันเพิ่มอีก ผมมองว่ามันคงไม่ใช่ตัวเลขนี้แน่ๆ ในปลายปีนี้ครับ

ที่มา : Blink Drive

Tesla เตรียมจ้างงานเพิ่ม 12,000 คนภายในสิ้นปี 2020

ไทยพยายามบอกว่ารถยนต์ไฟฟ้ามาทำให้คนตกงาน แต่เยอรมันนั้นไม่เชื่อคำพูดคนไทยมั้งครับ เลยอนุญาตให้ Tesla มาตั้งฐานผลิตที่ประเทศของเค้า ตอนนี้ Tesla กำลังกวาดประชาชนในเมืองนี้มากกว่า 12,000 คนมาเป็นคนงานของบริษัทตนเองครับ

เรียกได้ว่า Tesla กำลังสร้างงานให้กับประเทศเยอรมันอย่างมหาศาลเลยทีเดียวครับ แบบนี้ใครจะไม่รักกันนะครับ

ที่มา : teslarati

BLINK DRIVE TAKE

ที่มา : มติชน

แปลกใจมากๆ เลยครับที่ไทยพยายามโยนความผิดเรื่องการตกงานของคนงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ไปให้ “รถยนต์ไฟฟ้า” แบกรับทั้งหมด ซึ่งแผนกที่ตกงานนั้นมีเพียงแผนกเดียวคือเครื่องยนต์, ส่วนแผนกพ่นสี, ทำตัวถัง, สร้างแอร์, เดินสายไฟ, ล้อรถ หรือแม้กระทั่งแผนกติดฟิล์มกระจกรถก็ต้องมาตกงานไปด้วยเพราะรัฐหรือเอกชนไม่ยอมให้ผู้ประกอบการต่างประเทศนำเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศเราครับ

แทนที่จะได้ใบสั่งซื้อจากรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์น้ำมันพร้อมๆ กันไปทั้งคู่ ตอนนี้ใบสั่งซื้อรถยนต์น้ำมันก็เหือดแห้ง(ใครมีหลักฐานการสั่งซื้อรถยนต์น้ำมันหลัง covid-19 ก็ช่วยส่งมาให้ BLINK DRIVE ด้วยนะครับ) ใบสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศก็ไม่มีเพราะไทยไม่ได้อนุญาตให้ฝรั่งหรือคนต่างชาติมาลงทุนได้อิสระเหมือนจีน (สาเหตุหลักก็คือกลัวทับธุรกิจเก่าซะงั้น)

ความจริงที่คนงานไทยจะโดนเลิกจ้างคือ นายจ้างนี่แหละครับ เพราะเค้ารู้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้กำลังเปลี่ยนไป ถ้าจีนเอา robot ไปผลิตแล้วได้คุณภาพดีกว่า, ต้นทุนถูกกว่า, ผลิตได้เยอะกว่า มีหรือว่าไทยจะไม่ไปนำเข้าเครื่องจักรมาใช้ สมมุติว่า จ่ายค่าแรงคนงาน 1 คนทั้งปีประมาณ 180,000 บาท แต่ถ้าไปซื้อ robot arm 1 ตัวแล้วทำงานได้แทนคน 2 คนก็เท่ากับว่า ประหยัดไปปีล่ะ 360,000 บาทแถมได้ robot มาทำงานวันหยุดและตอนกลางคืนซะด้วย มีหรือครับ เค้าจะไม่เอา 360,000 บาทต่อปีมาผ่อนซื้อหุ่นยนต์แทนจ้างคนครับ

หมายเหตุ : robot ตัวนึงราคาประมาณ 3 ล้านบาทครับ

ถ้าคุณเป็นนายจ้างคุณจะเลือกแรงงานแบบไหนครับ ระหว่างลูกจ้าง 1 คนที่มาทำงานวันล่ะ 8 ชั่วโมงและมีต้นทุนวันล่ะ 300 – 500 บาทและยังต้องหาสวัสดิการ(รักษาพยาบาล, จัดการวันลา, ซื้อชุดให้อีก, หาหอพักให้ด้วย, แถมยังไม่รู้ว่าวันไหนเค้าจะมาประท้วงหน้าโรงงานเพราะโดน provoke จากเพื่อนร่วมงาน) กับอีกตัวเลือกคือผ่อนหุ่นยนต์เดือนล่ะ 50,000 – 100,000 บาทแต่สามารถทำงานให้คุณวันล่ะ 18 ชั่วโมง ข้อเสียอย่างเดียวคือต้องจ้างช่างมา maintenance เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ถ้าคุณเป็น CEO คุณจะเลือกทางไหนครับ?

คลิป : การประกอบรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ครับ ดูด้วยตาเปล่าจะเห็นเลยว่าทั้ง line ผลิตใช้คนไม่ถึง 150 คนครับ

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Follow by Email