สมาคมผู้ผลิตยานยนต์เกาหลีและสมาคมผู้นำเข้ายานยนต์ได้รายงานว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเกาหลีใต้นั้นเติบโตมากกว่า 40 % ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน โดยทำการเปรียบเทียบจากปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน
สาเหตุที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตแบบก้าวกระโดดนั้นก็มาจากการเปิดตัว Tesla Model 3 ในประเทศเกาหลีใต้ที่ทำให้ยอดขายที่เคยมีเพียง 236 คันในเดือนเมษายนปีที่แล้ว(2562) กระโดดไปเป็น 4,075 คันในเดือนเดียวกันปีนี้(2563) เพราะ Model 3 นั้นมีราคาถูกกว่า Model S และ Model X จึงทำให้กลายเป็นที่นิยมไม่ยากในประเทศเกาหลีครับ
ราคา Tesla Model 3 ในเกาหลี
อ้างอิงจากข้อมูลจากเว็บ elecpress ราคารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 มีราคาจำหน่ายในประเทศเกาหลีใต้อยู่ที่ 26,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 832,800 บาท ในขณะที่ราคาขายในอเมริกาอยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1,080,000 บาท
รัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เนื่องจากเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อากาศเสีย ฝุ่นละอองในเมืองใหญ่ รวมไปถึงลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง แม้ในประเทศเกาหลีใต้จะมีผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่เป็นของตัวเอง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ประเทศผู้รับจ้างผลิตรถยนต์ รัฐบาลเกาหลีใต้ยังเปิดกว้างให้มีการนำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศ การแข่งขันด้านการตลาดและเทคโนโลยีจากทั้งในประเทศและต่างประเทศนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ที่มา : elecpress
Tesla กินส่วนแบ่ง 96 %
Tesla สามารถครองส่วนแบ่งรถยนต์ไฟฟ้าได้มากถึง 96 % ของตลาดนำเข้าโดยแบ่งยอดขายออกเป็นดังนี้ครับ
- Tesla – 3,941 คัน (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 660 %)
- Nissan – 99 คัน (ลดลงจากปีที่แล้ว -60.6 %)
- BMW – 53 คัน (ลดลงจากปีที่แล้ว -3.6 %)
- Jaguar – 14 คัน (ลดลงจากปีที่แล้ว -26.3 %)
เกาหลีใต้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าปีที่แล้ว 4.4 %
เมื่อปีที่แล้วเกาหลีใต้ขายรถได้ไปถึง 9,735 คันภายในเดือนมกราคม – เดือนเมษายน, มาในปีนี้รถยนต์ไฟฟ้าขายได้ไปมากถึง 10,161 คันแล้ว มากกว่าปีที่แล้วถึง 4.4 % ครับ
ยอดขายเก๋งตก 36 %
เกาหลีใต้ออกมายอมรับว่ายอดขายรถยนต์ตกลงไปถึง 36 % ถ้าเทียบกันกับปีที่แล้วโดยยอดขายเก๋งปีนี้อยู่ที่ 6,221 คันเท่านั้น ส่วนปีที่แล้วขายได้ 9,735 คัน
ที่มา : Koreabizwire
BLINK DRIVE TAKE
ถ้าสังเกตดีๆ พวกเราจะเห็นได้เลยว่า ยอดขายรถยนต์ทั่วไปนั้นตกกันทุกประเทศแต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างในเกาหลีใต้นั้นกลับเพิ่มขึ้นถึง 4.4 % ส่วนสหรัฐนั้นเพิ่มขึ้นที่ 9 % ในปีนี้ เรียกได้ว่าคนนั้นหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้นนะครับ แม้ COVID-19 จะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจซื้อรถยนต์กันในช่วงนี้ แต่ตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภคในต่างประเทศกันนะครับ
ของประเทศไทยนั้น ผมมองว่า ถ้ายังใช้กำแพงภาษี 200 % ในการกีดกันรถยนต์ไฟฟ้าอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนที่เสียหายหนักที่สุดหลังจาก COVID-19 จบคือ ประชาชนในเมืองครับ ที่ต้องมารับกรรมสูดดมควันพิษท่อไอเสียจากรถในเมืองกรุง รองลงมาคือผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตเพราะทางต่างประเทศนั้นหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากยิ่งขึ้น(โดยเฉพาะหลังจบ COVID-19) เรียกได้ว่า Demand (ความต้องการ)รถยนต์น้ำมันจะไม่กลับมาสูงเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วครับ
คราวนี้ผมขอฝากคำถามถึงผู้ประกอบการและคนทำงานสายอาชีพรถยนต์น้ำมันทุกท่านนะครับว่า “หลังจากจบ COVID-19 นั้น คุณจะได้รับใบสั่งซื้อรถยนต์จากประเทศไหนได้บ้างครับ?”
เพราะเท่าที่รู้มาคือ ยุโรปก็ไม่เอารถยนต์น้ำมัน, อเมริกาก็ไม่เอา, จีนก็เช่นกัน, อินเดียก็ด้วย, และเกาหลีใต้นี่ยิ่งชัดเจนเลยครับ ทำ incentive(เงินอุดหนุน)ให้กับประชาชนเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้
แล้วเราจะผลิตรถยนต์ส่งออกไปขายใครหลัง COVID-19 จบอ่ะครับ? ถ้าขายคนไทยนั้นผมพอเข้าใจครับ เพราะคนไทยไม่มีตัวเลือกในการซื้อรถเหมือนจีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, อเมริกา, แคนาดา, และทุกประเทศในยุโรปเท่านั้นเองครับ ถ้าเค้ามีโอกาสซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในราคาเดียวกับจีนแล้ว คุณคิดว่ายอดขายรถยนต์น้ำมันจะกลับมาเหมือนเดิมกันไหมครับ?
ผมคิดว่า อย่าเพิ่งโทษใครกันเลยครับ, พวกเราควรวางแผนที่จะปรับตัวเพื่อเตรียมรับคลื่นลูกใหม่กันดีกว่านะครับ ไม่งั้นไทยได้กลายเป็นประเทศโกดักสองแน่นอนครับ