Site icon Blink Drive

ม้ามืดโฟคสวาเกน ตัดริบบิ้นเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า( 4 หมื่นล้านบาท)- กำลังผลิต 330,000 คันต่อปี

โฟคสวาเกนได้ทำการเปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ID.3 ณ วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ที่เมืองซฟิคเคา ประเทศเยอรมันที่ผ่านมา นี่ถือเป็นการขยับตัวครั้งใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกเลยก็ว่าได้

อย่างที่เคยบอกไปในกระทู้ [ข่าวแปล : รอยเตอร์] โฟค สวาเกนเร่งสร้างรถยนต์ไฟฟ้าในจีน ตั้งเป้าขายครบ 1 ล้านคันภายในปี 2565(2022) แล้วว่า บริษัทที่ผลิตรถยนต์ได้เยอะที่สุดในโลกมาตลอดเวลาคือ โฟค สวาเกนนะครับ ทุกคนอาจจะคิดว่า โตโยต้านี่แหละที่เป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ของตลาด โหะๆ บอกเลยว่า คิดผิดครับ นอกประเทศไทยนั้น โฟค สวาเกนนั้นใหญ่เอามากๆ เครือของเค้านั้นประกอบไปด้วย

  1. โฟค สวาเกน
  2. อาวดี้
  3. ซีท
  4. สโกด้า
  5. เบนท์เล่ย์
  6. บูกาติ
  7. แลมโบกินี่
  8. ปอร์เช่
  9. ดูกาติ
  10. สกาเนีย
  11. MAN

งานนี้ นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี ออกโรงเองเลยครับ มาเป็นประธานเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโฟคสวาเกนเองกับมือเลย บอกได้เลยครับว่า มันส์แน่นอนเพราะประเทศที่มีเทคโนโลยียานยนต์อันดับหนึ่งของโลก(เยอรมัน)เปลี่ยนทิศทางกันแบบนี้ ค่ายอื่นๆ คงตามมาในอีกไม่ช้าแน่นอนครับ

นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี

ส่วน CEO คนล่าสุดของโฟคสวาเกน Herbert Diess ได้ออกมากล่าวอีกว่า “เป้าหมายหลักของบริษัทเรานั้นคือพัฒนาเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของ e-mobility(ยานยนต์อัจฉริยะ)ให้แก่คนเป็นล้านๆคนภายในปี 2050 เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่ลูกหลานของเราในอนาคต”

CEO คนล่าสุดของโฟคสวาเกน Herbert Diess
CEO คนล่าสุดของโฟคสวาเกน Herbert Diess กับนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี ในรถ Volkswagen I.D. 3

ราคา 1 ล้านบาทต่อคัน เริ่มขายต้นปีหน้า

ราคาเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า I.D. 3 นั้นอยู่ที่ 30,000 ยูโร หรือ 1 ล้านบาท(ราคานี้ยังไม่รวมภาษีแบตหน้าเลือดของประเทศกำลังพัฒนา) โดยเป้าหมายของโฟคสวาเกนนั้นชัดเจนมากๆ คือ จะเปลี่ยนโรงงานผลิตรถยนต์น้ำมัน(พวกรถ ICE) ในเมืองซฟิคเคา ให้กลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 100 % ภายในปี 2021 แน่นอน โดยบริษัทได้สำรองเงินลงทุนเอาไว้ที่ 40,000 ล้านบาท(1,200 ล้านยูโร)สำหรับโปรเจคนี้

ณ ปัจจุบัน โรงงานแห่งนี้ได้เริ่มสายการผลิตซึ่งจะสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เพียง 80 คันต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 300 คันต่อวัน ณ เดือนมกราคม 2563 นี้ จากนั้นภายในปี 2021(อีก 2 ปีจากนี้) โรงงานแห่งนี้จะมีกำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 330,000 ต่อปี เหลือเทียบเท่ากำลังผลิตรถยนต์น้ำมันของไทยประมาณ 15 % (นี่ยังไม่รวมของอัตราการผลิต เทสล่า [550,000 คันต่อปี], ฮุนได, ทาท่า, ฮอนด้ายุโรป, โตโยต้าอินโดนีเซีย, BYD และค่ายรถยนต์จีนอีก 30 ค่ายนะครับ แค่คิดก็บรรเทิงแล้วครับ)

เงินลงทุน 1 ล้านล้านบาท(30,000 ล้านยูโร) กับรถยนต์ไฟฟ้า 70 รุ่น ภายใน ปี 2028

เครือโฟคสวาเกน(วางแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 70 รุ่นภายในปี 2028 (อีก 9 ปี) โดยเค้าได้อนุมัติงบประมาณ 1 ล้านล้านบาทสำหรับการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2023(อีก 3 ปีจากนี้) เรียบร้อยแล้ว

เครือโฟคสวาเกนประกอบไปด้วย

  1. โฟค สวาเกน (Volkswagen)
  2. อาวดี้ (Audi)
  3. ซีท (SEAT)
  4. สโกด้า (Skoda)
  5. เบนท์เล่ย์ (Bentley)
  6. บูกาติ (Bugatti)
  7. แลมโบกินี่ (Lamborghini)
  8. ปอร์เช่ (Porches)
  9. ดูกาติ (Ducati)
  10. สกาเนีย (Skania)
  11. MEN

งานนี้โฟคสวาเกนเล่นใหญ่กะฆ่าเจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้า(เทสล่า)คาเท้าไปเลยนะครับ ส่วน ฮุนไดนั้นก็ไม่ยอมน้อยหน้าครับ ประกาศศึกกับโฟคสวาเกนและเทสล่าเช่นกันว่า จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 23 รุ่นสู่ท้องตลาดภายใน 5 ปีหลังจากนี้ส่วน volvo(วอลโว่)ก็บอกว่า 50 %ของยอดขายในปี 2025 ต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น

ที่มา : CBNC

เน้นใช้หุ่นยนต์ในการประกอบมากขึ้น

รูปภาพ กองทัพ Robot Arm (แขนกล) สำหรับใช้ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ในไทยนั้น ผมไม่แน่ใจว่า พัฒนาแรงงานส่วนนี้ไปบ้างหรือยัง แต่สิ่งที่แน่ใจคือ robot arm จะมาแทนคนงานในโรงงานแน่นอนครับ เพราะพวกมันไม่ต้องหลับ ไม่ต้องนอน ไม่มีการลาพักร้อน

ดังนั้น แทนที่พวกเราจะต่อต้านเทคโนโลยี ดีสรับทีฟ(การมาของเทคโนโลยีใหม่ๆ) ให้เปลี่ยนมาเป็นสอนให้พวกแรงงานในประเทศมาเรียนรู้วิธีการซ่อมบำรุง robot arms กันดีไหมครับ? เพราะต่อให้ robot arm มันทำงานได้ดีกว่าคนแค่ไหนก็ตาม มันก็ต้องการคนมาซ่อมบำรุงมันแหละครับ

ดังนั้นผมมองว่า ผู้ใหญ่ในประเทศควรจะให้ความสำคัญแรงงานใหม่เนอะ คือจับมาเทรน(สอน)เรื่อง robot arm เหมือนที่ประเทศจีน, อเมริกา, เยอรมัน, เกาหลีใต้, เวียดนาม, มาเลเซีย,และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกกำลังปฏิวัติการผลิตรถยนต์อยู่ยังไงล่ะครับ

ส่วนวิดีโอด้านล่างจะอธิบายทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ในอนาคตได้เป็นอย่างดีเลยครับ ยังไงก็ลองกันดูนะครับ

BLINK DRIVE TAKE

แล้วคุณยังคิดว่า #รถยนต์ไฟฟ้าไม่บูม อีกหรอครับ?

คุณคิดว่า การปล่อยข่าวรถยนต์ไฟฟ้าในเพจของผมเป็นเรื่องแต่งขึ้นกันหรือป่าวน้า มันเลยทำให้พวกคุณมองว่า ไม่มีความหวังเลยที่รถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้จะเข้าไทย อิๆ (แซวเล่นนะครับ)

ผมบอกเลยครับเวลาที่ทุกประเทศ(พัฒนา)ทั่วโลกเค้าเลิกใช้รถยนต์น้ำมันกันแล้ว สุดท้ายไทยต้องเลือกแหละครับว่าจะเดินตามประเทศพัฒนาเหล่านั้น หรือไปยืนเคียงข้างประเทศที่ไม่มีนโยบายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเกาหลีเหนือครับ

ถ้าเปรียบเทียบ BOI หรือ นโยบายกีดกันรถยนต์ไฟฟ้า เป็น “เขื่อน” ล่ะก็ ข่าวการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้ารอบโลกก็เหมือน “น้ำ” แหละครับ ตอนนี้ดูเหมือนเขื่อนจะสามารถกักเก็บน้ำเพื่อไม่ให้ท่วมเมืองได้อยู่ แต่อย่าลืมนะครับว่า การลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าระดับนี้(1 ล้านล้านบาทแล้ว) ประเทศเล็กๆอย่างไทยก็ห้ามไม่อยู่หรอกครับ

ไทยลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ทีอย่างมากสุดก็ 5 หมื่นล้านบาท(ที่มา ฐานเศษรฐกิจ )ห่างกันประมาณ 20 เท่าครับ

ถ้าถึงเวลานั้น(น้ำท่วมเขื่อนจริงๆ) มันจะทะลักเข้าไทยเหมือนที่เหตุการณ์ iphone ทะลักเข้าไทยหรือป่าวครับ? เพราะคนทั่วโลกหันไปใช้มือถือ smart phone กันหมดแล้ว ต่อให้โนเกียมี แบ๊ค(คนหนุนหลัง)ดียังไงก็ตามก็สู้ประชาชนทั้งโลกไม่ได้หรอครับ

ยังไงก็อดทนรออีก 1 ปีหลังจากนี้หน่อยนะครับ เชื่อว่า หลังจากนี้อีก 1 ปีรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่สามารถเข้าไทยได้ทุกรุ่นแน่นอน แต่สิ่งที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดและผมกล้าฟันธงคือ พวกคุณสามารถซื้อรถยนต์ยุโรปในราคาล้านปลายๆ แน่นอนครับ เพราะยุโรปเค้าไม่ใช้รถยนต์น้ำมันกันแล้ว ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เค้าจะโละของไม่ใช้มาขายถูกในประเทศพัฒนาอย่างบ้านเราครับ ส่วนรถยนต์ hybrid และ hybrid plug-in จะหั่นราคาลงมาต่ำกว่าล้านบาทแน่นอนครับ ดังนั้นถ้าคุณเป็นแฟนรถยนต์น้ำมันอย่างถึงพริก ถึงขิงจริงๆ ก็อดใจรออีก 1 ปีแล้วค่อยถอยรถนะครับ รับรองว่าได้รถที่ถูกใจในราคาที่ถูกกว่าปีนี้เป็น 2-3 แสนบาทแน่นอนครับ(ของไม่ใช้แล้วในต่างประเทศ เค้าก็โละมาประเทศไทยเป็นธรรมดาแหละครับ)

อ่อ ก่อนจากกันผมขอเอา comment ของลูกเพจ Blink Drive มาโพสตรงนี้หน่อยนะครับ

แนวโน้มทั่วโลกที่ส่งผลกระทบถึงไทย

1.supplyล้น:เครื่องยนต์ทั้งดีเซลและเบนซิน​ เนื่องจากทวีปยุโรปประกาศห้ามในระยะเวลาอันใกล้


2.เครื่องยนต์มีแนวโน้ม​ความจุกระบอกสูบลดลงและใช้turboเพื่อช่วยให้คงประสิทธิภาพ​ และลดมลภาวะให้ตรงตามข้อกำหนดของประเทศที่พัฒนาแล้วในหลายๆประเทศ

ช่วงนี้ทุกค่ายรถยนต์​จะปล่อยเครื่องยนต์​ที่มีเทคโนโลยี​ต่างๆออกมาไม่มีกั๊กแล้ว​ เพราะเป็นไม้สุดท้ายถ้าไม่ผลิตมาขายก็จะไม่มีโอกาสนำเทคโนโลยีที่อุตส่าห์​คิดมาได้ตั้งนานและเก็บเอาไว้เป็นไม้ตายมาใช้งานจริง​ เพราะกระแสโลกเบนมาทางEV


3.เราจะได้เห็นรถเครื่องยนต์ที่ราคาคุ้มค่าตามoptionที่ควรจะเป็นจริงๆเต็มท้องตลาด​ เพราะทุกค่ายยอมลดmargin(กำไรส่วนเกิน)​ เนื่องจากทางยุโรปและประเทศพัฒนาแล้วมีdemandของรถเครื่องยนต์​ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง​ เลยต้องโยกvolumeส่วนเกินนี้มาที่ประเทศกำลังพัฒนา​ เช่นเราและในภูมิภาคนี้


4.ภาครัฐ ยังคงตั้งกำแพงกีดกันรถEV เพื่อพยุงอุตสาหกรรม(เดิม)​ภายในประเทศ​ แต่ไม่มองการณ์ไกล​ว่า​ ถ้าความต้องการทั่วโลกลดต่ำลงมากๆแล้วจะผลิตมาให้ใครซื้อ​

ภาครัฐไม่ยอมเรียก, ชัดชวนให้ผู้ผลิตทุกๆราย​ ช่วยมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยด้วย เพื่อช่วยสานต่อการเป็นHubยานยนต์​ของโลกนี้

จากลูกเพจ Blink Drive

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Exit mobile version