จากเดิมที่เคยเป็นสถานีบริการน้ำมันที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2501 ปัจจุบัน ปั๊ม“อาร์เอส ออโตโมทีฟ”ในเมืองทาโคมา ปาร์ค มลรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ได้ปรับรูปแบบธุรกิจและผันตัวเองกลายเป็นสถานีชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ และเปิดให้บริการหลังปรับโฉมใหม่เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา
เรื่องราวมันก็มีอยู่ว่า ปั้มน้ำมันแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในปี 1997 (2540) หลังจากที่นายโดเล่ย์(เจ้าของปั้ม)ได้ครอบครองมามากกว่า 20 ปี ซึ่งระหว่างนั้นนายโดเล่ย์ก็ได้ทำการเปิดอู่ซ่อมรถยนต์ข้างๆปั้มไปด้วยเพื่อให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, และเปลี่ยนผ้าเบรค, รวมไปถึงการซ่อมบำรุงตามระยะการใช้งาน แต่พอหมดสัญญากับบริษัทให้บริการน้ำมัน(ครบ 20 ปี) นายโดเล่ย์ก็เบื่อเต็มทีที่จะต้องมาดูแลปั้มน้ำมันแห่งนี้ จึงทำการปิดกิจการลง โดยเค้าเอาเงินส่วนตัวลงทุนไปกับการรื้อถังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในปั้มน้ำมันแห่งนี้ออก ส่วนร้านซ่อมรถยนต์นั้นเค้ายังเก็บเอาไว้อยู่เพราะไม่ได้ติดสัญญากับใคร
ก่อนหน้านี้ในเขตเมืองทาโคมา ปาร์ค มีสถานีชาร์จรถไฟฟ้าเพียง 2 แห่ง ลูกค้ามาใช้บริการตลอดทั้งวันและมักจะมีการเข้าคิวยาวเสมอ ส่วนสถานีชาร์จไฟฟ้าแห่งใหม่ของอาร์เอส ออโตโมทีฟ ที่ดัดแปลงมาจากสถานีบริการน้ำมันนั้น ได้รับการออกแบบให้มี 4 แท่นชาร์จ กำลังไฟ 200kW สามารถชาร์จไฟฟ้าให้รถครั้งละ 4 คัน โดยจะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีสำหรับการชาร์จไฟเต็ม 80%
ระหว่างนั้นเอง เจ้าหน้าที่รัฐก็โทรหาโดเล่ย์โดยบอกว่า ถ้าจะปิดไปอย่างนั้นก็น่าเสียดายนะ อยากเปลี่ยนปั้มน้ำมันเก่าๆ แห่งนี้เป็นสถานีชาร์จไฟไหมล่ะ ? ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐก็มีงบให้ 786,000 ดอลลาร์(23 ล้านบาท) ซึ่งเป็นงบจากสถาบันยานยนต์ไฟฟ้า (อีวีไอ) และสำนักงานพลังงานแห่งมลรัฐแมรีแลนด์ เพื่อการปรับเปลี่ยนปั๊มน้ำมันเป็นสถานีชาร์จรถไฟฟ้า
หลังจากที่คุณโดเล่ย์ได้รับข้อเสนอมาปุ๊บก็นำไปปรึกษาครอบครัวของตนต่อครับ พอลูกสาววัย 17 ปีของแก(เทเรซ่า)รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ก็บอกกลางโต๊ะอาหารทันทีว่า “ลุยเลยพ่อ สมัยนี้ ใครๆ ก็วางแผนจะเปลี่ยนไปใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว ปัญหาทุกวันนี้ของผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าคือ range anxiety (กลัวว่าไฟจะหมดกลางทาง) ดังนั้นถ้าเราแก้ปัญหาให้แก่ผู้คนได้ เราจะทำเงินจากตรงนั้นได้นะ และการที่เราสร้างสถานีชาร์จไฟเอาไว้ก่อนแบบนี้ ก็ถือว่า ปูทางให้แก่ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย “
ไม่น่าเชื่อว่า นี่จะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากวัยรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของประเทศอเมริกานะครับ พวกเค้ามองออกว่า ยังไงๆ รถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของชาวอเมริกาเร็วๆ นี้แน่นอน ทำให้เค้าเป็นตัวตั้งตัวตีให้กับครอบครัวเลยว่า ลุยไปเลย !! ฮ่าๆๆ
ดังนั้น สถานี อาร์เอส ออโตโมทีฟ(ปั้มน้ำมันของคุณโดเล่ย์)จึงกลายเป็นผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันรายแรกในสหรัฐฯที่ปรับตัวเองมาเป็นสถานีชาร์จรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบครับ
หลังจากเปิดตัวไปได้ 1 เดือนเต็มๆ เจ้าของปั้ม(นายโดเล่ย์)บอกว่า การเปลี่ยนเป็นสถานีชาร์จไฟนั้นทำให้ผู้ใช้งานรถยนต์น้ำมันหลายคนหงุดหงิดมากๆ (โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน) บางคนเข้ามาเพื่อจะเติมน้ำมันแต่ปรากฏว่า หาหัวจ่ายน้ำมันไม่เจอ ก็เบิ้ลเครื่องรถยนต์ออกไปบ้าง , บางคนก็กดบีบแตร์ด้วยความไม่พอใจบ้าง (ฮ่าๆ)
เปิดเลาจน์พร้อมไวไฟให้ลูกค้านั่งรอ
เนื่องจากการชาร์จไฟฟ้าต้องใช้เวลาดังนั้น ภายในบริเวณสถานีจึงมีที่นั่งพักและร้านค้าสะดวกซื้อที่ลูกค้าจะสามารถเข้าไปนั่งรอเวลาและมีจอภาพให้คอยเช็คว่ารถของตัวเองชาร์จไฟไปถึงไหนแล้ว
นายโดเล่ย์ได้ทำ ปรับปรุงร้านค้าของเค้าให้กลายเป็นเลาจน์(lounge : ห้องรับรองหรู) โดยติดตั้งระบบ internet เปิด wifi ให้ลูกค้าใช้ฟรีๆ แถมยังซื้อเก้าอี้หนังแท้สีดำอย่างดีมาให้บริการลูกค้าของเค้าอีกด้วย นายโดเล่ย์บอกว่า เค้าไม่ได้ต้องการขายขนมหรืออาหารให้ลูกค้าเป็นหลัก แต่ถ้าลูกค้าอยากซื้อ เค้าก็มีขายให้เหมือนร้าน super market ทั่วไปเช่นกัน
ส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าจะเข้ามานั่งประมาณ 20-30 นาที
นายโดเล่ย์กล่าวต่ออีกว่า “ผมว่า ถึงเวลาที่เราต้องทำอะไรเพื่อโลกใบนี้บ้างแล้วล่ะ, การรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องยากก็จริง แต่ผมเชื่อว่า มันสามารถทำได้โดยค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอย่างแน่นอน(one step at a time.)
คิดค่าไฟยังไง?
ลูกค้านำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้บริการสถานีชาร์จไฟแห่งนี้อยู่ที่ 8-12 คันต่อวัน ซึ่งถือว่า น้อยมากๆ ครับ แล้วแต่ล่ะคันก็จะแวะเข้ามาครั้งล่ะ 15-30 นาที ซึ่งจะคิดเป็นเงินนาทีล่ะ $0.20 หรือ 6 บาทต่อนาที โดยเฉลี่ยแล้วลูกค้าจะชาร์จไฟครั้งล่ะ $2.5 หรือ 75 บาท(น้อยมากๆ ) นายโดเล่ย์ยังบอกอีกว่า ลูกค้าเคยมาชาร์จมากสุดคือ $15 หรือ 450 บาท ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นพวก Tesla model X หรือ Model S ตัวที่มีแบต 100 kWh แหละครับ
ส่วนแบ่งทางกำไรจะแบ่งกันอย่างนี้คือ นายโดเลย์(เจ้าของปั้ม) จะได้เงินไป 66 % ของยอดขายทั้งหมด ส่วนอีก 33 % จะส่งคืนให้กับผู้ให้บริการ EVI (เจ้าของเครื่องชาร์จ) ซึ่งนายโดเล่ย์มีที่ดินให้เค้า สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่บริษัท EVI และบริษัท EVI ก็นำเครื่องชาร์จไฟมาติดตั้งให้ฟรีแหละครับ
ส่วนค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ค่าไฟ : นายโดเล่ย์จ่ายทั้งหมด, ค่าบำรุงรักษาเครื่องชาร์จไฟรวมไปถึงการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟ : บริษัท EVI ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ผมมองว่า อนาคตบริษัท EVI จะใช้ business model นี้ ในการไปติดต่อขอให้เจ้าของที่ดินสร้างปั้มให้และทำการแบ่งส่วนแบ่งกันแบบนี้ครับ
คู่แข่ง EVI
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ เช่น โฟล์คสวาเก้น กำลังมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจสถานีชาร์จไฟฟ้าของตัวเองเช่นกัน ในสหรัฐฯ โฟล์คสวาเก้นมีโครงการความร่วมมือกับองค์กรอิเล็กทริฟาย อเมริกา (Electrify America)ลงทุนวิจัยและพัฒนาในด้านนี้ ขณะเดียวกัน ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพอย่าง “ชาร์จพอยท์” (ChargePoint) ที่มีแผนติดตั้งแท่นชาร์จไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 2.5 ล้านแห่งภายในปี 2568 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า และบริษัทอีวีโก (EVgo) ที่ประกาศตัวเองเป็นผู้ให้บริการสถานีบริการรถไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยบริษัทมีแท่นประจุไฟฟ้าความเร็วสูงให้บริการ 1,200 หัวจ่ายในสถานีชาร์จไฟฟ้าจำนวน 700 แห่งในเมืองต่างๆทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบัน อเมริกามีรถยนต์ไฟฟ้าขายมากกว่า 40 รุ่นแล้ว
นายแดน โบเวอร์มาสเตอร์(Dan Bowermaster) เจ้าหน้าที่ Electric Power Research Institute ได้กล่าวว่า “ณ ปัจจุบัน อเมริกาเปิดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 40 รุ่นแล้ว และจะเพิ่มเป็น 120 รุ่นภายในปี 2024(4 ปีหลังจากนี้)”
นายแดนยังกล่าวต่ออีกว่า “ตอนนี้ตัวเลขรถยนต์ไฟฟ้ายังน้อยเพราะยังไม่มีใครเข้ามาทำตลาด SUV จริงๆ จังๆ ซะอีก ซึ่งทุกคนในอเมริกาก็ทราบดีกว่าประเภทรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในประเทศอเมริกานั้นก็คือ SUV หรือ รถยนต์ Crossovers (แบบ Honda CRV หรือ toyota fortuner บ้านเรา) ”
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
กลายเป็น Land mark ของเมืองไปซะแล้ว
ณ ปัจจุบัน สถานีชาร์จไฟแห่งนี้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของรัฐแมรี่แลนด์ไปเสียแล้ว คนอเมริกาจากทั่วทุกทิศของประเทศแห่กันไปชมสถานีชาร์จไฟแห่งนี้อย่างไม่ขาดสายเลยครับ โดยคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าทุกคนที่ผ่านมาเมืองนี้จะต้องแวะเข้ามาใช้บริการสถานีชาร์จไฟแห่งนี้กันทุกคนเลยครับ
โดยนายโดเล่ย์บอกว่า ตู้ชาร์จไฟนั้นมีแค่ 2 ระบบคือ ChadeMo กับ CSS เท่านั้น ดังนั้น เค้าเลยได้สั่งซื้อ Tesla adapter(ตัวแปลงหัวชาร์จของ Tesla) มาที่ร้านเค้าถึง 2 หัว (หัวนึงราคาประมาณ $450 หรือ 13,000 บาท) เพื่อให้ลูกค้าได้ยืมไปชาร์จไฟได้แหละครับ
แม้กระทั่ง สำนักข่าว NBC News ของอเมริกาก็ยังไปทำข่าวเลย เรียกว่า สถานีชาร์จไฟแห่งนี้ดังมากๆเลยครับ
ที่มา : npr
ที่มา : wtop
BLINK DRIVE TAKE
ผมคิดว่า นายแดนกำลังพูดแง้มๆ ว่า การมาของ Tesla Model Y ในปี 2020(ปีหน้า)นั้นจะทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าคึกคักกว่านี้เป็นแน่แท้แหละครับ ส่วนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอเมริกามีมากกว่า 40 รุ่นแล้วนั้นผมย้ำว่าเป็นเรื่องจริงครับ แต่ที่ดังๆ ก็มีแค่ Tesla model 3, กับ Chevrolet Bolt ครับ ที่เหลือยอดขายนั้นหลักพันหรือหมื่นเท่านั้นครับ หันกลับไปดูประเทศไทยกันตอนนี้ รถยนต์ไฟฟ้ามีไม่ถึง 10 รุ่น แถมราคาแพงกว่าอเมริกาประมาณ 2-3 เท่าตัวทุกรุ่นเลยครับ
เรื่องกำไรนั้น ผมบอกเลยว่า 1 เดือนแรกที่เปิดมานั้น นายโดเล่ย์แทบไม่ได้กำไรอะไรเลย เพราะมีผู้มาใช้งานเพียง 8-12 คันต่อวัน แต่ผมเชื่อว่า สถานีชาร์จไฟคืนทุนได้ก่อน 3 ปีแน่นอนเพราะ มีคนเข้ามาใช้งานมากขึ้นก็มีคนเข้ามาจับจ่ายใช้สอย(ซื้อขนม, ซื้อของกิน)ระหว่างรอชาร์จไฟมากยิ่งขึ้น กำไรนั้นน่าจะมาจากการขายของกินมากกว่าการให้บริการชาร์จไฟครับ เหมือนที่คนไทยเปิดปั้มน้ำมัน ปตท. แล้วบอกว่า กำไรจากการปล่อยเช่าที่ในปั้มเพื่อเปิดร้านกับกำไรจากร้านกาแฟ amazon นั้นเยอะกว่าการขายน้ำมันยังไงละครับ
จากบทความภาษาอังกฤษที่ผมอ่านมายังมีอีกเรื่องที่ผมอยากเล่าคือ นายโดเล่ย์มองว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นเติบโตเร็วมากๆ เค้าเลยบอกกับสำนักข่าวต่างๆว่า ภายใน 1-2 เดือนนี้ เค้าจะให้ช่างในอู่ซ่อมรถของเค้าไปเรียนรู้วิธีการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อจะทำการเปิดอู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าภายใน 1-2 ปีหลังจากนี้ครับ
ผมว่า ธุรกิจของนายโดเล่ย์รอดแล้วครับ เค้าไม่ต้องมาลุ้นแล้วว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมาทำลายอู่ซ่อมรถของเค้าเมื่อไหร่
เรียกว่า เค้าปรับเปลี่ยนธุรกิจตามกระแสของโลกได้เลยครับ แบบนี้สิครับ ถึงจะเป็นเศษรฐีตัวจริง เชื่อว่า อีก 5 ปีข้างหน้า สถานีชาร์จไฟแห่งนี้จะเต็มไปรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นและจะมีการขยายสาขาไปเมืองอื่นๆ อย่างแน่นอนครับ
ผมเชื่อว่า ใครเริ่มก่อนก็ได้เปรียบนะครับ แต่การจะเริ่มอะไรก็ควรจะศึกษาอย่างถ่องแท้ด้วย ไม่ใช่คุณบ้าพลังเปิดสถานีชาร์จไฟในอำเภอที่ยังไม่มีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเลย หรือเปิดสถานีเติม hydrogen ในประเทศไทย (แบบนี้ เหมือนฆ่าตัวตายแหละครับ)