Blink Blink
News

[ข่าวแปล BBC]บทสรุปอีลอน มัคส์ ถกเถียงเรื่อง ปัญญาประดิษฐ์(A.I.) กับ แจ๊ค หม่า ที่ประเทศจีน

ก่อนอื่นเลย ผมขอขอโทษภาพด้านบนก่อนนะครับ อีลอนไม่ได้พูดเกี่ยวกับสายชาร์จว่าควรยาวเท่าไหร่นะครับ

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผมจะเอาบทสรุปของอีลอนมาให้ทุกท่านอ่านแล้ว ผมขอสรุปกิจกรรมต่างๆ ที่อีลอนบินไปเยือนจีนรอบนี้ให้ดูก่อนนะครับ

อีลอนไปทำไรที่จีนบ้างรอบนี้(สิงหาคม 2562)

อยากจะบอกว่าคนกระโปรงชมพูสวยมากครับ (ไม่ใช่แระ แอ๊ดมิน กลับมาทำข่าวก่อน)

กิจกรรมแรกหลังอีลอนเหยียบแผ่นดินจีนแล้วก็คือเข้าประชุมงาน 2019 World Artificial Intelligence Conference เมืองเซี่ยงไฮ้, ประเทศจีนครับ โดยงานนี้ พ่ออีลอนได้ขึ้นรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model X สีขาวคู่ใจนั่งไปสถานที่เปิดงานซะด้วย

กิจกรรมถัดมา อย่างที่เคยสัญญาทุกคนเอาไว้นะครับ คือ เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่าโมเดล 3 (ที่ท่านเห็นด้านบนนี้) รุ่น Made in China พร้อมกับระบบ supercharger ที่วางเอาไว้ข้างๆ ตัวรถด้วย ทั้งสองชิ้นนี้ผลิตที่จีนได้เรียบร้อยแล้วครับ โดยรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ได้จอดหล่อๆ อยู่ในงาน 2019 World Artificial Intelligence Conference เมืองเซี่ยงไฮ้, ประเทศจีน ด้วยนะครับ

อีลอน เยี่ยมชมโรงงาน Gigafactory 3 ที่จีน Credit to Weibo user 不是郑小康

ส่วนกิจกรรมสำคัญที่สุดในงาน คือการ debate (ถกเถียง) กับแจ๊ค หม่า (เจ้าพ่อ online marketing ของจีน)เรื่อง ปัญญาประดิษฐ์(A.I.) นั่นเอง

บทสรุปจาก BBC เกี่ยวกับการโต้วาทีระหว่าง แจ๊ค หม่าและอีลอน มัคส์

อีลอนได้กล่าวกับแจ๊คหม่าว่า “เทคโนโลยีสมัยนี้ พัฒนาไปเร็วกว่าความสามารถในการเข้าใจของมนุษย์ไปซะแล้ว”

ซึ่ง แจ๊ค หม่าและอีลอนก็เห็นพ้องต้องกันว่า “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกตอนนี้คือ วันสิ้นโลก(population collapse).

Less work (ทำงานน้อยลง)

แจ๊ค หม่า พยายามจะบอกว่า ตอนนี้ หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรนั้นเข้ามามีบทบาทในการทำงานของมนุษย์อย่างที่ปฏิเสธไม่ได้เสียแล้ว ยิ่งตอนนี้มีเทคโนโลยีตัวใหม่ที่เรียกว่า Machine learning (การเรียนรู้ของเครื่องจักร) เข้ามาผนวกกับระบบ software ในปัจจุบันอีก เรียกได้ว่า งานต่างๆ ที่ต้องใช้การคำนวณหรือหา solution แบบหนักๆ นั้นถูก machine (เครื่องจักร) หรือ AI (ปัญญาประดิษฐ์)เหล่านี้แย่งงานพวกเราไปทำเยอะมากๆ ดังนั้นพวกเราควรปรับตัวเข้าหาพวก AI ไม่ใช่ต่อต้าน เพราะท้ายที่สุดแล้ว จะมีคนดิ้นรนนำมันมาใช้อยู่ดี

การแข่งขันระหว่าง AI กับ หมอเชี่ยวชาญด้านสมองทั้งหมด 15 คน
AI ใช้เวลา 15 นาทีสามารถวินิจฉัยโรคได้ทั้งหมด 87 % จาก 225 เคส
หมอทั้ง 15 คนใช้เวลา 30 นาทีสามารถวินิจฉัยโรคได้เพียง 66% จาก 225 เคส
แถม AI สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่า หมอทั้ง 15 คนได้มากถึง 83%(AI) ต่อ 63% (หมอ)
งานนี้ทำเอาวงการแพทย์อึ้งไปเลยว่า AI จะเข้ามา disrupt วงการแพทย์ในอนาคตแน่นอน
ที่มา : thestar

แต่แจ๊ค หม่า ยังพูดต่ออีกว่า “ถ้ามนุษย์เข้าใจตัวเราเองอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ พวกเค้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ดีกว่าอย่างแน่นอน”

อนาคตอันใกล้นี้, แจ๊ค หม่าทำนายว่า “AI จะเข้ามาช่วยลดภาระงานต่างๆ ลงไปมาก และจะสร้างงานประมวลผลที่มีประสิทธิภาพมากกว่าปัจจุบัน แถมใช้เวลาทำงานน้อยกว่ามนุษย์อย่างแน่นอน และ AI จะกลายเป็นศูนย์กลางในการจ่ายงานให้แก่คนงานต่างๆ ในองค์กร”

พูดประโยคนี้แล้ว ผมนึกถึงเรื่อง i Robot เลย ที่หุ่นยนต์หรือไฟจราจรทั้งเมืองรับคำสั่งจาก A.I. ตัวใหญ่ที่ศูนย์บัญชาการ

แจ๊คหม่ากล่าวเพิ่มเติมว่า “AI จะทำให้ทุกสายอาชีพเป็นเรื่องน่าเบื่อ” เพราะ AI จะทำออกมาได้ดีกว่ามนุษย์จริงๆ ดังนั้นอนาคตอันใกล้นี้ อาชีพเดียวจะยังคงเหลือให้มนุษย์ทำได้นั้นก็คือ เขียน software ควบคุม AI อีกทีล่ะนะ”

ผมนำข้อมูลบางส่วนจากคลิป ถ่ายทอดสดความยาว 48 นาทีออกมาให้ทุกท่านได้อ่านกันนะครับ อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่ต้องการรับชมคลิปเต็มๆแล้วล่ะก็ Blink Drive ได้ทำการ upload ลงมาด้านล่างนี้ให้แล้วนะครับ

ที่มา : BBC

BLINK DRIVE TAKE

ส่วนสาเหตุที่ผมเขียนข้อมูลเกี่ยวกับการ debate ครั้งนี้น้อยเหลือเกินก็เพราะมีเว็บอื่นๆ ได้เขียนออกมาได้ดีกว่าผมอย่างมาก ผมเลยอยากฝาก link แปะเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าไปศึกษาเพิ่มเติมกันตามอัธยาศัยครับ

อีลอน มัสก์ มองว่า เมื่อท้ายที่สุดคอมพิวเตอร์จะชนะมนุษย์แล้ว ความหวังหนึ่งเดียวที่มนุษยชาติจะอยู่รอดคือ การใช้ประโยชน์จากขุมพลังของคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็เป็นที่มาของโครงการ Neuralink ของเขา โดยเป็นการพัฒนาเครื่องจักรสมองที่ผสานกับมนุษย์ได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฮเทคกับสมองมนุษย์ เพื่อช่วยในการประมวลผลและเก็บข้อมูลต่างๆ

ที่มา : the standard

ในมุมกลับ การตายของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายเช่นกัน มัสก์มองว่าเมื่อเราเชื่อมระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคืออายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น เพราะมนุษย์สามารถย้ายและถ่ายความทรงจำต่างๆ ลงไปยังคอมพิวเตอร์ได้ และสามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ขณะที่หม่ามองว่า อายุของมนุษย์จะนานขึ้นกว่าเดิม อาจถึง 120 ปี และเอไอจะเข้ามาช่วยทำให้สุขภาพของมนุษย์ดีขึ้น แม้เราจะไม่พ้นจากความตายก็ตาม

ที่มา : Work Point
ที่มา : the Matter

Stay tune , stay with BLINK DRIVE

Follow by Email