ส่งออกรถยนต์เม.ย.ต่ำสุด 24 เดือน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนเม.ย.2562 ส่งออกได้ 67,114 คัน ต่ำสุดในรอบ 24 เดือน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 7.52% โดยส่งออกลดลงเกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดออสเตรเลียที่กลับมาเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกของปีนี้ และตลาดตะวันออกกลาง ที่ยังคงเติบโตขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 35,545 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 3.02%
ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/835895
การผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกลดลง 8.11%
เดือนพฤษภาคม 2562 สามารถผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกได้ 94,476 คัน เท่ากับร้อยละ 52.1 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2561 ร้อยละ 8.11 ส่วนเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2562 ผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกได้ 473,268 คัน เท่ากับร้อยละ 52.99 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2561 ระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 0.71
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป ลดลง 3.58%
เดือนพฤษภาคม 2562 การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปทำได้ 95,331 คัน เท่ากับร้อยละ 100.9 ของยอดผลิตเพื่อส่งออก ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2561 ร้อยละ 3.58 โดยส่งออกลดลงเกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดเอเชีย ตลาดตะวันออกกลาง ตลาดยุโรป และตลาดอเมริกาเหนือ มีมูลค่าการส่งออก 48,649.82 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2561 ร้อยละ 6.22
ขณะที่เดือนมกราคม – พฤษภาคม 2562 การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปทำได้ 462,286 คัน โดยส่งออกลดลงจากปี 2561 ในระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 0.94 มีมูลค่าการส่งออก 233,850.62 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2561 ร้อยละ 3.27
ที่มา : money2know
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนขยายตัว 27 %
ในขณะที่ส่งออกไทยมีปัญหาแต่ประเทศจีนกลับมีการขยายตัวของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด : China’s electric vehicle sales may increase 27 per cent this year to a record, as their popularity offsets slumping demand for cars
แปลไทย – ความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าในจีนพุ่งสูงขึ้นกว่า record เดิมที่เคยมีมาถึง 27 % เรียกได้ว่า ปีนี้จีนเตรียมผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกขายทั้งในและต่างประเทศมากถึง 1.6 ล้านคันและจะขยายตัวเลขนี้เป็น 2-3 เท่าในปีหน้านี้ เนื่องจากโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายแห่งมีเป้าหมายให้ก่อสร้างเสร็จภายในปีหน้า
ที่มา : https://www.scmp.com/business/money/article/3011965/chinas-electric-vehicles-sales-may-increase-27-cent-year-record
อัตราการส่งออก : ขายในประเทศ = 50:50
คุณรู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยผลิตรถยนต์ได้แค่ 2 ล้านคันต่อปีเท่านั้นโดยแบ่งออกเป็น 50 : 50 คือ ขายในประเทศ 1 ล้านคัน , และส่งขายต่างประเทศ 1 ล้านคัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ในปี 2562 จะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน หรือประมาณ 1.05 ล้านคัน ขณะที่ตลาดส่งออกยังคงอยู่ในระดับเดิมกับปี 2561 คือ 1.1 ล้านคัน ส่งผลให้ในปี 2562 ยอดผลิตรถยนต์ในไทยจะอยู่ที่ 2.150 ล้านคัน
ที่มา : thaiauto
BLINK DRIVE TAKE
ถ้าจีนยังไม่หยุดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แบบนี้ล่ะก็ไม่ส่งผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาวแน่นอนเพราะว่า ลูกค้าของจีนนั้นคือกลุ่มเดียวกันกับลูกค้าของไทย
ซึ่งก็คือ ทวีปยุโรป หรือทวีปอเมริกาเหนือ
ครั้นจะผลิตไปขายจีนหรือประเทศอื่นๆ บนโลกก็ยากเอาซะแล้วเพราะแต่ล่ะประเทศบนโลกเริ่มจริงจังกับเรื่องมลพิษในเมืองแบบสุดโต่งไปเลย
บางประเทศในทวีปยุโรป เช่น เยอรมนี ประกาศห้ามรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลในบางเมืองของประเทศ ส่งผลทำให้เกิดความหวาดวิตกของผู้บริโภคถึงแนวโน้มการแบนรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลไปในหลายพื้นที่ ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลลดลงจากอดีต ซึ่งกระทบโดยตรงกับการส่งออกรถปิกอัพจากไทย”
ที่มา : ฐานเศรฐกิจ
ใครที่เข้ามาอ่านแล้วอาจจะบอกกับเพื่อนๆว่า เฉยๆว่ะ คนจีนมีเป็นพันล้านคน ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแค่ 1.6 ล้านคันต่อปีนี่ยังไม่ถึง 1 % ของประชากรของเค้าเลย
ใช่ครับ ผมเห็นด้วยครับ , แต่ลองคิดในทางกลับกันนะครับ ยอดขายรถยนต์ในไทย(ทั้งส่งออกและขายในประเทศ)ปีที่ผ่านมามีประมาณ 2 ล้านคัน หรือจะเรียกได้ว่า แค่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน 1 ปี ก็จะเท่ากับการผลิตรถยนต์ทั้งประเทศของไทยแล้ว
แล้วมันสำคัญตรงไหน?
ลองคิดตามผมนะครับ จีนผลิตเอามาใช้เองไม่ว่า แต่วางแผนจะส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าปีหน้าเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว คิดเล่นๆ เลยว่า จีนทำรถยนต์ไฟฟ้าส่งออก 1 ล้านคันภายในปีหน้า แค่นี้ก็กระทบตลาดส่งออกของไทยมากกว่า 30 % ได้สบายๆ
มันหมายความว่า จีนได้แย่งลูกค้ารถยนต์น้ำมันออกจากตลาดรถยนต์น้ำมันไปถึง 1 ล้านคนในปีหน้า ดังนั้นการที่ผู้ผลิตต้องแข่งขันกันมากขึ้น โดยหลักการคือ รถที่ผลิตออกมานั้นต้องผลิตเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมครับ ถ้าวันไหนผลิตน้อยกว่าเดิม ROI(Return Of Investment) หรือจุดคุ้มทุนก็จะถูกดึงระยะเวลาออกไป
คราวนี้ เงินที่จะไปจ่ายพนักงานหรือ bonus พนักงานก็น้อยลงเพราะยอดขายมันตกลง แถมยังต้องหาทางเอารถไปขายคนในประเทศต่อ ผลพวงที่ตามมาก็คือ การลดราคารถยนต์แข่งกันเพื่อให้ลูกค้าหันไปซื้อรถยนต์ค่ายของตน
พอจะมองภาพออกไหมครับ ที่ผมบอกว่า อย่าเพิ่งซื้อรถยนต์ใช้ปีนี้ เพราะปีหน้า รถยนต์ไฟฟ้าจีนจะพุ่งทะลุไปต่างประเทศเยอะขึ้น
ผลกระทบนั้นจะเป็น โดมิโน่ ทั้งโลก , บริษัทผู้ผลิตจะพยายามต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายโดยการลด แลก แจก แถม ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ deal ดีกว่ารถยนต์น้ำมันค่ายอื่น หรือดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าในตลาดที่เข้ามาช่วงชิงยอดขายของตน
อย่าเพิ่งเชื่อผม!!
ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่ใช่ กูรูเรื่องเศษรฐกิจอะไรทั้งนั้นครับ ผมเป็นเพียง นักเขียนสมัครเล่นที่มีทักษะ copy-paste ข่าวต่างประเทศและข่าวในประเทศเอามารวมกันและทำการ compare(เปรียบเทียบ)กันว่า
ทำไมข่าวไทยถึงออกข่าวมาว่า เศษรฐกิจไม่ดี ทำให้ไม่มีคนสนใจซื้อรถยนต์จากไทยเพิ่ม แต่ในต่างประเทศเช่น เยอรมันแบนรถยนต์น้ำมัน, หรือ แม้กระทั่ง demand(ความต้องการ)รถยนต์ไฟฟ้าของคนจีนและคนยุโรปนั้นพุ่งสูงเกินกว่า supply(การจัดหา) ของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าทั้งโลกรวมกันซะอีก
การอ่านข่าวที่ผม copy-paste (คัดลอกและวาง)นั้นก็จะเข้าใจภาพรวมของไทยและของโลกอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นนะครับ
ถ้าใครมีข้อเท็จจริงข่าวสารเกี่ยวกับยอดขายรถยนต์น้ำมันในไทยหรือยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในต่างประเทศเพิ่มเติมก็เชิญแวะเข้ามาสนทนาต่อได้ที่ Facebook Fan Page :