Site icon Blink Drive

Nissan leaf วางขายแล้วที่มาเลเซีย ราคา 1.41 ล้านบาท (RM 188,888.18)

“นี่เป็นการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า(รุ่นที่สอง) ที่ขายดีที่สุดในโลก ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้จะมากระตุ้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้แก่ประเทศต่างๆในเอเชีย , หลังจากพวกเราเคยทำขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่า 400,000 คันให้แก่ทุกประเทศทั่วโลกไปแล้ว มารอบนี้ รถยนต์ไฟฟ้า Nissan leaf จะทำการเปิดประสบการณ์การขับขี่โฉมใหม่ที่ทุกคนต้องหลงรักรถคันนี้ พวกเราเชื่อว่า รถคันนี้จะนำพาผู้คนไปสู่โลกอนาคตที่สดใสกว่า – โลกใบใหม่นี้จะเต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้า, พลังงานสะอาด, สถานีชาร์จไฟ(more connected) และท้ายที่สุดนี้คือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งเราเชื่อว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวมาเลเซียไปในทิศทางนั้นได้แน่นอน”


Vincent Wijnen (ผู้บริหารอาวุโสของ Nissan ภาคเอเชีย และ โอเชียเนีย)

ส่วนราคาของ Nissan leaf นั้นจะแตกต่างออกไปในแต่ล่ะเกาะของ ประเทศมาเลเซีย โดย

ชื่อดินแดนริงกิตมาเลเซียเงินบาท
แผ่นดินใหญ่ (Peninsular) 180,566.181,357,520 .-
รัฐซาบาห์(Sabah)185,569.181,395,133.-
รัฐซาราวัก(Sarawak)185,569.18 1,395,133.-

ที่มาของราคา : nissan malaysia

แผนที่ประเทศมาเลเซีย จะเห็นได้ว่า ประเทศของเค้านั้นแบ่งดินแดนออกเป็น 2 ฝั่ง โดยมีทะเลกั้นกลาง

เห้ย เดี๋ยวกลับมาก่อน admin, นี่คุณจะพาผู้อ่านเข้าวิชา สปช. ไม่ได้ นะ (ฮ่าๆ)
เอาเป็นว่า ผมเอาแผนที่ภูมิศาสตร์แบบคร่าวๆมาให้เห็นว่า nissan จะทำแผนการรุกในการขาย nissan leaf อย่างไรกันบ้างนะครับ พอพวกคุณเห็นแผนที่ก็จะร้อง อ๋อ ทันทีว่า ทำไมราคาของรถยนต์ไฟฟ้า nissan leaf นั้นไม่เท่ากัน เพราะการปกครองของมาเลเซียนั้นแบ่งออกเป็นรัฐๆ แหละครับ

ไทยขึ้นครองตำแหน่งขายรถยนต์ไฟฟ้า nissan leaf แพงที่สุดในเอเชีย(รองลงมาจากสิงคโปร์) ทันที

Nissan leaf วางขายแล้วที่มาเลเซีย ราคา 1.41 ล้านบาท (RM 188,888.18) ท่านอ่านไม่ผิดหรอกครับ ประเทศมาเลเซียเปิดตัว nissan leaf ที่ราคาต่ำกว่าไทย แบบนี้ผมสามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่า ประเทศไทย ขาย Nissan Leaf แพงที่สุดในเอเชีย (รองลงมาจากประเทศสิงคโปร์) ยินดีด้วยครับ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกว่า ราคา nissan leaf ในประเทศมาเลเซียนั้นอยู่ประมาณ 1.39 – 1.41 ล้านบาทไทย ซึ่งมองๆไปแล้วอายแทนเพื่อนบ้านว่า เค้าสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าถูกกว่าไทยกันหมดเลย จริงๆนะครับ เพื่อนบ้านเราสามารถนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า nissan leaf เข้ามาใช้ในราคาที่ถูกกว่าประเทศไทยทั้งเอเชียภูมิภาคเลย ยกเว้นแค่ประเทศสิงคโปร์เท่านั้นที่ราคาแพงกว่าไทย เพราะราคารถยนต์ทุกคันที่นั่นถูกเก็บภาษีหนักมาก เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้ระบบคมนาคมขนส่งกันมากยิ่งขึ้น เอาง่ายๆ ว่า รถยนต์น้ำมัน toyota camry บ้านเค้าราคาแพงกว่า nissan leaf ก็แล้วกันครับ

ราคารถยนต์น้ำมัน toyota camry vs ราคารถยนต์ไฟฟ้า nissan leaf ที่ประเทศสิงคโปร์
สังเกตุดีๆว่า รถยนต์ไฟฟ้า nissan leaf $159,300 ก็จริงแต่ได้ tax rebate $20,000 ดังนั้นราคาจริงของรถ nissan leaf คือ $139,300 หรือ 3.1 ล้านบาท ส่วน toyota camry ก็ราคาแพงกว่า nissan leaf ประมาณ $700 หรือ 15,000 บาท
ที่มา : sgcarmart
แหล่งข่าวเปิดตัว nissan leaf

BLINK DRIVE TAKE

ผมมองว่า Nissan leaf ของประเทศมาเลเซีย สเปคจะคล้ายคลึงกันกับ Nissan Leaf ของประเทศไทยเลยนะครับ แตกต่างกันแค่ราคา คราวนี้มาว่ากันเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ากันหน่อยเนอะ

หลังจากเขียนเพจ blink-drive มานานแล้ว ผมจึงได้ข้อสรุปว่า รถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรงมากๆ ฝรั่งบางท่านมาสนทนากับผมแล้วก็บอกว่า เค้าเคยอยู่ในยุค golden age ของ kodak ตอนนั้นแหล่งข่าวต่างๆ ปล่อยข่าวกล้องฟิล์มกลบกล้องดิจิตอลบ้าง, กล้องดิจิตอลเปิดตัวใหม่เกือบทุกสัปดาห์บ้าง, เรียกได้ว่า มั่วไปหมดเลย

แต่สุดท้ายแล้ว บริษัท Kodak ก็ต้องแพ้ไปในที่สุดเพราะสู้กับ technology disruption ไม่ไหว

Disruptive Technology คืออะไร ?

Disruptive Technology คือ นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่สร้างตลาดและมูลค่าให้กับตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี และส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เกิดดิสรัปชั่นต่อตลาดของผลิตภัณฑ์เดิม รวมทั้งอาจจะทำให้ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแบบเดิม ๆ ล้มหายตายจากไป ซึ่งต่างจากนวัตกรรมทั่วไปที่อาจจะเพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพของสินค้า หรือลดต้นทุนกระบวนการผลิตแบบเดิมๆ เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ อาจจะไม่ใช่นวัตกรรมใหม่ล่าสุด อาจจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่มีการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบบางอย่าง เช่น คุณภาพ ประสิทธิของกระบวนการผลิต ต้นทุน หรือราคา ที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้มีเงื่อนไขที่เหมาะสมจนเป็นที่นิยมของตลาด 

ที่มา : mreport

ในอเมริกานั้น รถยนต์น้ำมันถูกลดบทบาทในการซื้อลงไปอย่างมาก เพราะคนทั่วไปนั้นใช้รถเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ ดังนั้น วันต่าง ๆ ที่เหลือก็ใช้จักรยาน, uber, หรือไม่ก็เช่ารถขับไปต่างจังหวัดกันครับ

ส่วนนี่คือ ผู้พ่ายแพ้ให้แก่ Disruptive Technology ครับ ผู้แพ้เหล่านั้นก็มี Nokia, Kodak, Blockbuster(ร้านเช่าวิดีโอที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา), Compaq(บริษัท computer) และตามด้วย Blackberry(หรือที่เราเรียกติดปากว่า BB)

พวกเค้าไม่ได้แพ้เพราะเค้าขี้เกียจหรือคนงานไม่เอาไหนนะครับ เค้าแพ้เพราะเค้าดันพัฒนาเทคโนโลยี “ผิดทาง” ต่างหากครับ

ยกตัวอย่าง : ในขณะที่ iphone กำลังเกิด มีคนเตือน Nokia และ BlackBerry แล้วว่า ให้ไปเข้าพวกกับ Andriod phone ที่ google เป็นคนพัฒนาขึ้นมา แต่ตอนนั้น พวกพี่แกใหญ่คับตลาดมือถือ เรียกว่า Ego และ margin ใหญ่โตจริงๆ ไม่ฟังใครทั้งนั้นแล้วมองว่า Apple เป็นบริษัท I.T. ที่ทำคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ จะไปสู้พวกเราได้อย่างไร

คำพูดดูถุกของ Bill gate เจ้าพ่อ Microsoft ในปี 1998
พูดเยอะเย้ยว่า “ผมไม่เข้าใจว่า Steve Job พยายามจะกลับไปเป็น CEO ต่อเพื่ออะไร , เพราะทำไปบริษัท Apple ก็เจ๊งอยู่ดี” ณ ตอนนั้น Microsoft มีมูลค่าบริษัทมากมายถึง $2.4 แสนล้านเหรียญ ส่วน Apple มีมูลค่าบริษัทเพียง 6 พันล้านเหรียญเท่านั้น

พอ Apple ซุ่ม ทุ่มเงินมหาศาลไปกับ project ที่เรียกว่า App Store หรือ iOS ด้วย ตอนนั้นพวก Nokia ยังหัวเราะเยาะอยู่เลยว่า ทำบ้าอะไรนะ คนเค้าต้องการใช้มือถือเพื่อโทรเข้า โทรออก และ ส่งข้อความเท่านั้น จะพัฒนา Application มือถือมาทำไมเยอะแยะ ซึ่งเอาจริงๆ ใช้ notebook (คอมพิวเตอร์พกพา) สะดวกกว่าเยอะ ถึงขั้นให้ Bill Gate เจ้าพ่อ Microsoft ออกมาจับมือกับ Nokia ยืนด่า Apple เลยว่า ไม่มีใครใช้มือถือจอสัมผัสกระจอกๆ ของคุณหรอก , คุณเลิกทำเถอะ ,ถ้าให้คนพิมพ์แข่งกันโดยคนนึงใช้ Pocket PC ของ microsoft กับอีกคนใช้มือถือจอสัมผัสกากๆ อย่าง iphone ต่อให้ใช้คนพิการแขนเดียวพิมพ์ pocket PC แข่งกันกับคนธรรมดาใช้สองมือ, สองแขนพิมพ์ iPhone ก็ยังชนะแหละฟ่ะ ฮ่าๆ (คำพูด bill gate นะครับ)

Pocket PC ของ Microsoft เมื่อปี 2005
เป็นมือถือในฝันของผมเลยละครับ
ทั้งสัมผัสได้และใช้คีย์บอร์ด qwerty ได้ด้วย

แต่เชื่อไหมครับว่า Apple ก็หน้าด้านพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจคำพูดของ Bill Gate ครับ จนสุดท้ายกลายมาเป็นมือถือ smart phone ที่ไม่ต้องพึ่ง stylus หรือ ปากกา ในการใช้งานเหมือนที่ Bill Gate เคยสบประมาทเอาไว้ยังไงละครับ

ผมอยากจะบอกว่า Tesla คือ Apple ในปี 1998 ที่พยายามทำสิ่งที่วงการรถยนต์น้ำมันบอกว่า กระจอก, กาก, เลิกเหอะ , ฯลฯ ทำต่อไประวัง bankrupt (ล้มละลาย) นะ จนกลายเป็นคำพูด bully บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเกือบทุกบริษัทซะแล้ว

สมมุติว่า Apple คือ Tesla นะครับ
App Store คือ Auto-pilot software ของ Tesla ยังไงละครับ
iOS ของระบบ iPhone คือ Software OTA ของ Tesla ยังไงละครับ
ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตนั้นก็คือ ระบบ smart phone รุ่นใหม่ที่คนยังไม่เข้าถึงกันยังไงละครับ

ส่วน Nokia คือใครกันน้าาาา
ใครกันน้าา ที่หน้าด้าน หน้าทนพัฒนา symbian โดยไม่สนใจ ระบบของ iOS เลยน้าาา

ฝากเอาไปเป็นการบ้านให้คิดเล่นๆ นะครับ
พวกคุณมองเห็นการเปลี่ยนแปลง Kodak, Nokia, และ Apple กันมาแล้ว ดังนั้นอีกไม่นานเนอะ จะได้เห็น Kodak 2 และ Apple แห่งวงการรถยนต์แหละครับ

สนทนาต่อได้ที่ : Blink Drive Facebook

Exit mobile version