ก่อนจะเข้าเรื่องรถกระบะฟอร์ด F-150 ไฟฟ้าวันนี้ ผมอยากจะมาอวดให้ผู้อ่านทุกท่านทราบว่า รถที่ขายดีที่สุดในอเมริกานั้นคือรถกระบะ ฟอร์ด F-150 คันนี้ยังไงละครับ ดังนั้นการที่ฟอร์ดตัดสินใจเอารถกระบะที่ขายดีที่สุดของบริษัทตัวเองไปสร้างเป็นรถกระบะไฟฟ้าแล้ว นั่นเท่ากับฟอร์ดกำลังเปลี่ยนจุดยืนในอุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกาอย่างสิ้นเชิงไปเลยครับ
รถกระบะ ฟอร์ด F-150 เป็นรถที่ขายดีที่สุดในอเมริกา
ด้านบนนี้คือยอดขายรถกระบะฟอร์ด F-150 เมื่อปีที่แล้ว(2018) จะเห็นได้ว่า ขายได้
909,330 คันซึ่งมากกว่ายอดขาย Toyota Camry ในอเมริกา(343,439 คัน) ถึง 3 เท่า
ในไทยนั้น คนไทยยังมองว่า Toyota เป็นเจ้าโลกนะครับ แต่ในอเมริกาเค้าไม่ได้มองแบบนั้นเลย เพราะ Ford และ Chevrolet ที่อเมริกานั้นมีคนใช้อยู่เยอะมาก เค้ามองแค่ว่า Toyota ซ่อมน้อย ปัญหาไม่เยอะครับ รถขายง่าย ราคาแพง แต่ยอดขายของ Ford ในอเมริกานั้นกลบพี่โตจนมิดเลย ส่วนรถยนต์ที่ผลิตออกมาเยอะที่สุดในโลกกลับเป็นยี่ห้อ Volkswagen นะครับ ไม่ใช่ Toyota ดังนั้นผมจะพาพวกคุณไปดูอะไรใหม่ๆ กันในโพสนี้ครับ
ฟอร์ดประกาศขายรถยนต์ไฟฟ้า 16 รุ่นในปี 2022(2565)
Ford ร่วมมือกับ Volkswagen พัฒนารถไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในอนาคต Volkswagen จะร่วมลงทุนกับ Ford ใน อาร์โก เอไอ บริษัทแพลตฟอร์มเทคโนโลยีรถไร้คนขับ มูลค่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราวๆ 2.17 แสนล้านบาท) ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ทั้งสองบริษัทนำระบบขับขี่อัตโนมัติของ Argo AI ไปติดตั้งในรถยนต์ของแต่ละแบรนด์ [ที่มา – ไทยรัฐ]
ดังนั้นแล้วในแผนการณ์ของ Ford ที่จับมือร่วมกับ Volkswagen ครั้งนี้ก็หมายมั่นให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ MEB platform นะครับ ซึ่งมองดีๆว่า platform นี้หน้าตาคล้ายคลึงกับ Tesla เลย โดยรถจะมีพื้นที่เพิ่มตรงฝากระโปรงหน้าหรือเรียกในภาษาฝรั่งว่า Frunk ที่ย่อมาจากคำว่า Front Trunk
เปิดตัวรถกระบะไฟฟ้า ฟอร์ด F-150 โดยนำเอามาลากของหนักกว่า 560 ตัน
เรื่องราวมันมีอยู่ว่า ทุกครั้งที่ ฟอร์ดจะทำการเปิดตัวรถใหม่ๆ จะเรียกลูกค้าที่ใช้งาน รถยนต์ฟอร์ดอยู่จริงๆ เข้ามาหาแล้วทำการโชว์รถยนต์ใหม่ๆ ให้ดู
มารอบนี้ คุณ Linda Zhang ซึ่งดำรงตำแหน่ง หัวหน้าวิศวกรของ Ford ผู้ดูแล project รถกระบะไฟฟ้าฟอร์ด F-150 ได้บอกกับลูกค้าที่นัดมารถกระบะคันนี้จะสามารถลากรถรางหนักถึง 1 ล้านปอน์ด หรือ 453 ตันนั่นเอง
ลูกค้าทุกคนก็ทำหน้างงๆ ว่า รถกระบะฟอร์ด F-150 มันทำไม่ได้ ของหนักขนาดนี้จะลากได้ยังไง เจ๊แกเลยแกะป้ายให้ดูเลยว่า นี่เป็นรถกระบะไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นรถกระบะ F-150 ที่แรงที่สุดเท่าที่ Ford เคยสร้างขึ้นมา (มันก็แน่อยู่แล้วละ เพราะรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทนั้น torque(แรงบิด)นั้นมหาศาลมากๆ การเอามอเตอร์มายัดใส่รถแล้วลากของนั้นยิ่งได้เปรียบกว่ารถยนต์เครื่องสันดาบเป็น 10 เท่า)
พอลากรถรางเสร็จแล้ว เจ๊แกบอกว่า เห็นรถกระบะ Ford F-150 ทั้ง 42 คันนี้ไหม มันคือสัญลักษณ์ของ Ford F-150 ว่า เปิดขายมา 42 ปีแล้ว ดังนั้นเราจึงเอารถกระบะ 42 คันนี้มาวางโชว์ให้ทุกท่านเห็นกันยังไงล่ะ
วางโชว์อย่างเดียวคงไม่พอ เอางี้ล่ะกัน จับรถกระบะ Ford F-150 ทั้ง 42 คันนี้ยัดเข้าไปในรถรางพวกนี้กัน ลูกค้าทุกคนทำหน้าตกใจและร้อง “ว้าว” หรือไม่ก็ “พระเจ้าช่วย” และบอกว่า ไม่มีทางที่รถกระบะธรรมดาจะสามารถลากของหนักขนาดนั้นได้หรอก
รถกระบะไฟฟ้าคันนี้ได้ทำการลากรถรางหนัก 560 ตันไปเป็นระยะทาง 1000 ฟุต หรือ 304 เมตร
Ford Company
หลังจากเอารถกระบะทั้ง 42 คันเข้าไปในรถรางแล้ว ตอนนี้น้ำหนักทั้งหมด(รถราง+รถกระบะ 42 คัน) รวมกันเป็น 1.25 ล้านปอนด์ หรือ 560,000 kg(560 ตัน) โดยรถกระบะไฟฟ้าคันนี้ได้ทำการลากรถรางหนัก 560 ตันไปเป็นระยะทาง 1000 ฟุต หรือ 304 เมตร
สุดยอดไหมครับ อย่าง ปอร์เช่เคยโฆษณาว่า รถ Cayenne (เครื่อง 4.8 ลิตร , V8 bi-turbo [เทอร์โบคู่] )สามารถลากเครื่องบิน Airbus A380 ซึ่งเป็นเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแต่ก็หนักเพียง 361,000 kg(361 ตัน) และทำการลากออกไปเพียง 42 เมตรเอง
เอิ่ม เทียบกับรถกระบะไฟฟ้า ของฟอร์ดที่สามารถลากของที่หนักกว่า 2 เท่าไปได้ไกลกว่าเกือบ 10 เท่าตัว
แบบนี้ ผมมองว่า รถยนต์ SUV น้ำมันราคามากกว่า 10 ล้านบาทควรจะนำไปเก็บเข้ากุไปเลยเนอะ แต่ก็อย่างที่บอกว่า รถยนต์น้ำมันบางรุ่นนั้นออกแบบมาสวยและทรงคุณค่าทางจิตใจเหมือนนาฬิกา Rolex ครับ เชื่อว่า ยังมีหลายคนที่อยากซื้อเก็บสะสมรถยนต์เหล่านี้อยู่แหละครับ
ดังนั้นจะเรียกได้ว่า รถกระบะไฟฟ้า Ford F-150 นั้นสร้างสถิติใหม่ในการลากของหนักที่สุดในโลกขึ้นมาได้เลยนะครับ
รับชมคลิปเต็มของรถกระบะฟอร์ด F-150 ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
BLINK DRIVE TAKE
ช่วงนี้ข่าวรถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศแปลเป็นภาษาไทยนั้นเยอะขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เรียกได้ว่า ท่านสามารถหาข่าวรถยนต์ไฟฟ้ามาเสพได้ทุกวัน
แต่เท่าที่ผมสังเกตุมานั้นคือ สไตล์การเขียนแต่ละสำนักข่าวนั้นจะไม่เหมือนกันเลย ข่าวเดียวกันแท้ๆ แต่ล่ะสำนักที่เอามาลงนั้นจะเน้นไปคนล่ะด้าน เช่น ถ้าสำนักข่าวนั้นมาจากสาย I.T. ก็จะเน้นไปทางเทคโนโลยี, สำนักข่าว Business(ธุรกิจ) จะเน้นไปทางยอดขาย โดยเอายอดปีที่แล้วมาเปรียบเทียบปีนี้บ้าง, หรือไม่ก็เอายอดขายรถยนต์น้ำมันมาเปรียบเทียบกับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าบ้าง ส่วนสำนักข่าวที่มาจากสายรถยนต์น้ำมัน ก็จะเน้นเรื่องตัวถัง, ความแรง, แรงบิด, การออกแบบภายในและภายนอกของรถ เป็นต้น
ดังนั้นผมอยากให้ทุกท่านเปิดใจกับข่าวรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้และเลือกที่จะเรียนรู้จากหลายๆสำนักแหละครับ จริงๆ ยังมีความเป็น signature(เอกลักษณ์)ของแต่ละสำนักข่าวลงไปอีก แต่ผมจะขอจำกัดรวมๆ เพียงเท่านี้ครับ
ส่วนเว็บผมนั้นไม่ได้เน้นเรื่องตัวถัง , การออกแบบเสา C-pilar หรือความกว้างของฐานล้อ ดังนั้นพวกท่านก็จะสามารถเดาได้ใช่ไหมครับว่า ผมเป็นสำนักข่าวสายไหน ฮ่าๆ
แต่ผมจะเน้นเรื่องความประหยัด, ความแรงของรถ, เรื่องบำรุงรักษาเป็นหลัก เพราะผมเล็งเห็นว่า ทุกคนซื้อรถมาคันนึงต้องใช้งานมากกว่า 5-10 ปีถึงจะขายต่อหรือโยนทิ้ง ดังนั้นถ้าผมไม่วิเคราะห์สิ่งที่ทุกคนต้องการเหล่านี้เช่น ค่าบำรุงรักษา, การใช้งานในชีวิตประจำวัน เป็นต้นแล้วละก็ มันจะดูเหมือนกับผมกำลังขายฝันอยู่ไงละครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมอยากให้ทุกคนมองรถยนต์ไฟฟ้าเป็นของใช้ทั่วไปเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าอันนึงซึ่งเรื่องการบำรุงรักษานั้นยังคงมีอยู่แต่น้อยกว่าการใช้งานรถยนต์น้ำมันถึง 5-10 เท่า
ส่วนการที่ Ford นั้นเปิดตัวกระบะไฟฟ้าแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ ว่า “เอามาโชว์เฉยๆ ปีหน้าผมยังไม่ขายนะ” เค้าไม่ทำตัวน่าเกลียดเหมือนค่ายรถบางค่ายเนอะ ที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า(Concept) ทุกปีแล้วประกาศออกมาว่า เป็น concept car ไม่มีขายนะจ๊ะ หรือเรียกอีกอย่างว่า เปิดตัวเอาฮา หรือไม่ก็บอกว่า ไฮโดรเจนนนนนนนนนน!!! มาแน่ แล้วก็พอ 2-3 เดือนผ่านไปก็เงียบไปในที่สุด (จะเสียเงินค่าโปรโมทหรือสร้างรถ concept car ออกมาทำไมกันฟ่ะ? ลูกค้าก็ไม่สามารถเข้าไปสั่งจองรถได้เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าบริษัทอื่นๆ เนอะ)
ซึ่ง Ford ไม่ทำอย่างนั้นครับ รอบนี้ เค้าเอาจริงแน่นอน ไม่งั้นคงไม่เอาลูกค้ามาดูรถ และทดสอบความแรงของรถโชว์กันแบบนี้ครับ ยังไงปีหน้านี้ รถกระบะไฟฟ้าฟอร์ด F-150 คันนี้จะออกโลดแล่นในท้องตลาดแน่นอน และผมจะนำรีวิวและราคามานำเสนอก่อนใครเพื่อนแน่นอนครับ จุดประสงค์ที่ทำไปก็เพื่อให้คนไทยเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ก่อนประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ
Stay tune , stay with Blink Drive ครับ
สนทนากันต่อได้ที่ : Blink Drive Facebook Fanpage