“การที่ได้ Oliver Zipse ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง CEO พร้อมแผนการณ์ที่เฉียบคมและความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองรอบด้านต่างๆ นี้ บอกได้เลยว่า เค้าจะนำพาองค์กร BMW ทะยานสู่ยานยนต์แห่งอนาคตแน่นอน” นาย Nobert Reithofer ซึ่งเป็น chairman ของ BMW ได้กล่าวเอาไว้
ประวัติของ นาย Nobert Reithofer น่าสนใจมากๆ เค้าเคยดำรงตำแหน่ง CEO BMW ใน ปี 2006 – 2014 และรถยนต์ไฟฟ้า BMW i8 ที่คุณเห็นอยู่นี้ก็เป็นหนึ่งในผลงานของ นาย Nobert Reithofer ด้วยครับ
Krueger ประกาศลาออกจากบริษัท BMW Group ณ วันที่ 15 สิงหาคมนี้
ส่วน CEO BMW คนปัจจุบันคือ นาย Krueger จะลงจากตำแหน่ง CEO พร้อมลาออกจากบริษัทในวันที่ 15 สิงหาคม 2562 นี้ครับ
ประวัติของนาย Oliver Zipse แบบคร่าวๆ
Oliver Zipse เป็นชาวเยอรมันโดยแต่กำเนิด เข้าเรียนโรงเรีียน high school ในเมือง Bensheim ตั้งแต่ปี 1983 , ตอนมหาวิทยาลัย เค้าได้เดินทางมาเรียนที่มหาวิทยาลัย University of Utah ณ เมือง Salt Lake City ประเทศอเมริกา ส่วนวิชาที่เค้าเรียนนั้นก็คือ computer science (คอมพ์ วิทย์)กับเลขคณิตศาสตร์ หลังจากเค้าเรียนจบก็ไปต่อคณะวิศวกรรมเครื่องกล ที่มหาลัย Technische Universität Darmstadt ที่ประเทศเยอรมัน
ปี 1991 นาย Oliver Zipse เข้าไปเป็นเด็กฝึกงานที่บริษัท BMW จากนั้นก็ไต่เต้าขึ้นมาเป็น product strategies(ผู้วางแผนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์) จากนั้นก็ได้เข้าไปเป็นคณะกรรมการผู้บริหารบอร์ด (board member for production) ในส่วนของการผลิต
ผลงานของ Oliver Zipse
Oliver Zipse เป็นคนสร้างสายการผลิตที่มีประสิทธิภาพในประเทศ ฮังการี่, จีน,และสหรัฐอเมริกา เค้ายังสามารถพาบริษัททำกำไรได้อย่างมหาศาลทั้งๆ ที่ในส่วนที่เค้าทำนั้นเป็นส่วนเล็กๆ ในบริษัทเท่านั้น
Krueger ไล่เก็บพนักงานแผนกรถยนต์ไฟฟ้า
ย้อนกลับมาที่ Krueger ซักนิดนะครับ ตอนที่ Krueger เป็น CEO อยู่นั้น เค้าตัดงบประมาณ แผนกรถยนต์ไฟฟ้าออกไปเยอะมา ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ามากมายหลายคนลาออก เช่น Christian Senger เป็นต้น ณ ปัจจุบัน Christian Senger หนีไปเป็นคณะกรรมการบริหาร(Board member) ของบริษัท Volkswagen ครับ โดยได้ตำแหน่งดูแลแผนก software ส่วนอีกคนที่ Krueger เตะออกคือ Markus Duesmann ซึ่งตอนนี้กลายเป็น CEO ของบริษัท Audi แล้วยังไงครับ ดังนั้นที่ Audi E-tron กำเนิดมาได้ก็ยก credit ให้กับคุณ Krueger เลยนะครับ ที่ดันไปเตะดาวรุ่งพุ่งแรงทั้งสองคนออกจากบริษัท ทำให้ Volkswagen และ Audi นั้นสามารถสร้างรถยนต์ไฟฟ้าได้ดีกว่า BMW ไปแล้วครับ
หลังจากนี้ไปผมไม่ห่วง อนาคต BMW อีกแล้วครับ เพราะได้ข่าวมาว่า Zipse เตรียมอัดฉีดงบไม่อั้นจ้าง software developer(โปรแกรมเมอร์) ตัว Top จาก บริษัท Amazon และ google เพื่อให้มาร่วมโปรเจครถยนต์ไฟฟ้าของ BMW เร็วๆ นี้ครับ
“การความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนั้นก็เป็นส่วนสำคัญในบริษัท แต่ถ้าคุณยังไม่ยอมพัฒนาต่อยอดเรื่อง software แล้วละก็ คุณก็จะกลายเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วน hardware ที่ต้องพึ่งพา Google หรือ Apple ตลอดไป , ถ้าคุณอยากขึ้นไปที่สูง(top of food chain) คุณก็ต้องลงทุนกับ data และ software ด้วย” หนึ่งในคณะกรรมการบริหารของ BMW ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้
ที่มา : autoblog
BLINK DRIVE TAKE
ใครคิดว่า BMW ไปได้ไม่สวยในเกมส์นี้ ผมก็เห็นด้วยครับ แต่หลังจากนี้ไป BMW จะไม่ใช่บริษัทแนวหลังเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าอีกต่อไปแล้ว การที่เค้าตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลม เช่น การไล่ CEO ที่มีวิสัยทัศน์ไม่ทันโลกสมัยใหม่ออกไปก็เป็นการประกาศตัวแล้วว่า บริษัทตัวเองจะไม่เดินตาม บริษัท Kodak หรือ Nokia นั้นเป็น wise(ชาญฉลาด) decision(ตัวเลือก) มากๆ
ผมอยากจะให้ย้อนเวลากลับไปซักนิดนะครับว่า หลังจากที่ คุณ Krueger มาดำรงตำแหน่ง CEO ในปี 2014 เป็นต้นมาแล้ว BMW หยุดโปรเจครถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดเอาไว้เลย เรียกว่า R&D นั้น ถูกพักงานไปเลย เหลือแต่ production ที่ยังผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 และ i8 ออกมาอยู่ครับ
ถ้าคุณสังเกตุอีกอย่างคือ BMW i3 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนๆ ของ BMW ถูกผลิตมาปี 2013 หลังจากนั้น ภายใน แทบไม่ได้ upgrade เลย , แบตเดิม, มอเตอร์เดิม มาเป็นเวลา 6 ปีแล้วครับ แปลกใจไหมครับ tesla model S นั้นออกมาก่อน 1 ปี แต่ tesla model s นั้นถูกเปลี่ยนความจุของแบตมา 5 ครั้งแล้ว (จาก 60 kWh –> 75 kWh —> 85 kWh —> 90 kWh —> 100 kWh) ความจุแบตของ tesla นั้นถูกพัฒนามาต่อเนื่องแถม tesla model 3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ 4 ของ บริษัท Tesla นั้นได้ใช้แบตรุ่นใหม่เสียด้วย
คุณมองข้อมูลแบบนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าเค้า “เตะถ่วง” แค่ไหนกันน้าาาา เล่นปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าลอยแพอยู่ 6 ปีเต็มๆ ไม่สร้างรุ่นใหม่ออกมาเลย
ผ่านไป 6 ปี BMW ตั้งใจเตะถ่วงหรือดองสินค้าตัวเองเอาไว้นานมาก โดยให้เหตุผลกับชาวยุโรปว่า คนยุโรปไม่นิยมรถยนต์ไฟฟ้า แต่พอรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3 เข้าทวีปปุ๊บ ยอดขายรถยนต์หรูของ ยุโรป ดิ่งฮวบหมดทุกประเทศเลย
สนทนาต่อได้ที่ : BlinkDrive Facebook fan page