เป็นที่รู้ๆ กันว่า ตอนนี้กระแสรถยนต์ไฟฟ้านั้นมาแรงมากๆ
นาย Bertel Schmitt ซึ่งคลุกคลีวงการรถยนต์ทั้งในประเทศญี่ปุ่น, อเมริกาและยุโรปมาอย่างช้านานได้เขียนสรุปการประชุม Toyota ครั้งที่ 7 เอาไว้ดังนั้น
-อย่างแรกเลย Toyota BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้า Toyota จะวางขายในประเทศจีนเป็นที่แรกของโลกในปีหน้า(2020) และวางแผนขายประเทศอื่นๆ ในปีถัดไป
“ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกตอนนี้พุ่งไปเหนือความคาดหมายเดิมของพวกเรา” กล่าวโดยนาย Shigeki Terashi , แผนก R&D ของบริษัท Toyota
ในปี 2017 – นั้นแผนการณ์เดิมของเราคือผลิตรถยนต์ไฟฟ้า(ทั้ง HEV, PHEV, BEV, FCEV) ให้ได้ 5.5 ล้านคันภายในปี 2030 ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนมาเป็นปี 2025
-ภายใต้ยอดผลิตรถยนต์ 5.5 ล้านค้นนั้นประกอบไปด้วย รถยนต์น้ำมัน hybrid และ plug-in hybrid อยู่ 4.5 ล้านคน ส่วนที่เหลือ 1 ล้านคันนั้นคือ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอร์รี่เพียวๆกับรถยนต์ไฟฟ้าพลังงาน fuel cell
-โดยจำนวนครึ่งนึงของยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้า(หรือ 5 แสนคัน) นั้นจะขายที่จีนประเทศเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 5 แสนคันจะกระจายไปยังยุโรปและอเมริกา
Toyota ยังได้กล่าวเอาไว้อีกเป็นใจความหลักๆ ดังนี้ว่า
-ถ้าประเทศต่างๆ ไม่ตั้งกฏเหล็กเอาไว้แบบนี้ล่ะก็ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 1 ล้านคันหรอก จริงๆ เราวางแผนการผลิตเอาไว้หมดแล้วแต่ต้องมาเปลี่ยนใหม่เกือบหมดเพราะกฏใหม่จากจีนและยุโรป
-บอกตามตรงเลยว่า ถ้าเทียบกับการขายรถยนต์น้ำมันแล้ว การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาเพื่อขายนี่แทบไม่ได้กำไรอะไรเลย เพราะต้องเริ่มทุกอย่างใหม่หมด
-ถ้าพวกคุณอยากสร้างและขายรถยนต์ไฟฟ้าแล้วล่ะก็ คุณก็ไม่ได้หลักประกันจากการทำธุระกิจหลากหลายหรอก
-วิกฤตในครั้งนี้คือการลงทุนที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นสนธิสัญญาต่างๆ กับบริษัท Panasonic ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแบตเตอร์รี่ให้แก่ Toyota เพียงผู้เดียว
-ถ้าเป็นไปได้ โอลิมปิคที่จะจัดขึ้นปีหน้านี้ พวกเราอยากโชว์ศักยภาพของ Toyota โดยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบต Solid State สู่สาธารณะชน แม้ว่า ช่วงแรกในการผลิตนั้น แบต solid state จะแพงกว่า lithium-ion อย่างแน่นอนแต่ระยะยาวแล้ว Toyota เชื่อมั่นว่าจะทำราคาให้ถูกลงมากกว่าครึ่งนึงภายใน 5-10 ปีหลังจากนี้แน่นอนครับ
-นาย Shigeki Terashi ยังกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ไม่แน่นอนของ battery solid state ที่มองว่า จะคงทนได้เพียง 5-10 ปีเท่านั้นจากนั้นก็ต้องทำการเปลี่ยนก้อนใหม่ ต่างกับ lithium-ion ของ Nissan leaf นั้นอยู่ได้มากกว่า 22 ปีสบายๆ ที่มา : europe news
คราวนี้เรามาดูกันว่า ทำไม Toyota จะไม่ใช่ที่หนึ่งในการผลิตรถยนต์อีกต่อไปในปี 2025 เพราะว่า Tesla นั้นประกาศว่า จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 1 ล้านคันต่อปีภายในปี 2021 อ้าวแบบนี้แสดงว่า กว่าจะถึงปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ก็วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลกมากกว่า 4 ล้านคันแล้วน่ะครับ )เรียกได้ว่ามีปริมาณเยอะกว่า Toyota ถึง 4 เท่าตัวชิวๆ
ส่วนเครือ VW หรือ volkswagen ก็บอกว่า จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าป้อนสู่ตลาดให้ได้ถึง 1 ล้านคันภายใน ปี 2022 เรียกได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป, อเมริกาและจีนในอนาคตจะกลายเป็นแบร์นอื่นหมดเลย ยกเว้น toyota
ที่มา : cleantechnica
BLINK DRIVE TAKE
ต้องขอบอกเอาไว้ก่อนว่า ข่าวที่ท่านอ่านอยู่นี่เป็นข่าวแปลน่ะครับ ผมไม่ได้เขียนออกมาจากใจครับ ถ้าติดตามอ่าน กระทู้หรือ post ของผม จะเห็นว่า หลังจากคำว่า BLINK DRIVE TAKE แล้วนั่นคือความคิดส่วนตัวของผมครับ
คราวนี้มาลองฟังความคิดเห็นของผมกันหน่อยน่ะครับ
ผมมองว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นสินค้าที่ hot ที่สุดในตอนนี้ ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกยี่ห้อพุ่งสูงกว่ายอดผลิตไปแล้ว
ยกตัวอย่าง Honda e เลย เปิดให้ผู้สนใจเข้าลงชื่อเอาไว้ก่อน หรือเรียกอีกอย่างว่า ลองเชิง คนยุโรปนั้นทันสมัยและรู้ว่า เทรนอะไรกำลังมา พอ Honda เปิดจองรถปุ๊บ คนก็แห่เข้าไปจองมากกว่า 15,000 คนและเขียนโฆษณารถยนต์ให้ฟรีๆ ด้วย เอ๊ะ แบบนี้เรียกได้ว่า ขายของโดยไม่ต้องจ้าง marketing เลยใช่ไหมครับ เห้ย ตั้งแต่คุณเกิดมาเคยเห็นยอดจองรถยนต์ honda มากกว่า 15,000 คนไหมครับ?
ที่มา : ยอดจองรถยนต์Honda e มากกว่า 15,000 คัน
ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ Porsche Taycan ไปแล้วว่า CEO ดันทะลึ่งเปิดจองรถ พอเปิดได้ 4 วันเท่านั้น ยอดจองพุ่งเข้ามามากกว่า 45,000 คนก็เลยต้องปิดรับจอง เดี๋ยวน่ะครับ การจองรถยนต์ไฟฟ้า taycan นั้นผู้จองต้องเสียเงินจองรถประมาณ 100,000 บาทน่ะครับ ไม่ได้จองกันเล่นๆ
ส่วนยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า tesla model 3 ก็มากกว่า 350,000 ใบ ซึ่งต้องเสียเงินซื้อใบจองราคา $1,000 หรือ 32,000 บาทครับ ตอนนี้ Tesla ได้ทำการส่งมอบรถได้หมดแล้ว เย้ ๆๆๆ
ผมสงสัยว่า ทำไม Toyota ถึงดูถูกกำลังซื้อของคนทั่วโลกจัง การที่ทำรถยนต์ไฟฟ้า 100 % ออกมาขายเพียง 1 ล้านคันให้ได้ภายในปี 2025 เหมือนกำลังประกาศยอมแพ้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทางอ้อมครับ
สิ่งเดียวที่จะทำให้ Toyota ผงาดเหนือ Tesla คือการพัฒนาแบตเตอร์รี่ solid state เท่านั้น ถ้าทำได้จริง ไม่เพียง Tesla จะกระเด็นออกจากตลาดรถยนต์เท่านั้น แต่รถยนต์น้ำมันทุกคันบนโลกจะขายไม่ออกเลย เพราะราคารถยนต์ไฟฟ้าจาก Toyota พร้อมแบต solid state นั้นต้องถูกกว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้า Tesla อยู่แล้ว
ปล. คุณคิดว่า Toyota กล้าสร้างรถยนต์ไฟฟ้าราคาแพงกว่า 3 ล้านบาทมาขายไหม? ถ้าสร้างจริง ควรจะแปะยี่ห้อ lexus ไม่ใช่ toyota เนอะ เพราะราคา Toyota ที่ผ่านมาไม่เคยสูงกว่า 3 ล้านบาท(ไม่นับตัว top)
ดังนั้นผมมองว่า การที่คุณซื้อรถยนต์ใช้ในปีนี้ เหมือนคุณกำลังซื้อกล้องฟิล์มมาใช้ในยุคที่กล้อง digital กำลังเข้าสู่ตลาดแหละครับ
ผมเชื่อว่าของแบบนี้ต้องใช้เวลาแต่อย่าลืมว่า บริษัทญี่ปุ่นนั้นไม่เหมือนอเมริกา เค้าทำอะไรแบบเสือสุ่มเงียบน่ะครับ ไม่ได้โฉ่งฉ่างเหมือน Tesla ดังนั้น ถ้าเค้าคิดจะเปิดตัว product เพื่อฆ่าอเมริกาล่ะก็ ผมเชื่อว่า อเมริกาแพ้แน่นอนครับ ยกตัวอย่าง Sony เปิดตัวกล้อง digital mirrorless ที่ทำเอา canon และ nikon หงายท้องไปเลย
ผมเชียร์พี่โตสุดใจในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบต solid state ครับ แล้วคุณล่ะ ถ้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบต solid state ผลิตออกขึ้นมาจริงๆ คุณคิดหรือว่า ยอดจองรถทั่วโลกจะมีเพียง 1 ล้านคัน อย่าเพิ่งดูถูกยี่ห้อนี้สิครับ เค้าเอาจริงขึ้นมา ตลาดรถยนต์น้ำมันทั้งโลกได้สะเทือนแน่นอน
ส่วนอีกมุมมองนึง ถ้า Toyota ทำไม่ได้อย่างที่พูด พวกคุณก็ไม่ควรซื้อรถใช้ในปีนี้ เพราะถ้า Toyota ทำไม่ได้อย่างที่พูดก็เตรียมตัวเป็นบริษัท Kodak 2 ได้เลยเพราะเสือ สิงห์ กระทิง แรดจากเมืองมังกรอย่างจีนนั้น รอรุมกินโต๊ะจีนครับ เพราะ Volkswagen ลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าไปมากกว่า 1.5 หมื่นล้านยูโรหรือ 5.2 แสนล้านบาทที่ประเทศจีน คุณคิดว่า เค้าลงทุนเอาฮาไหม ที่มา : euractiv
แล้วถ้า Toyota กลายเป็น Kodak 2 แล้ว รถที่พวกคุณซื้อมาก็คือขยะชิ้นดีนี่เองเพราะโรงงานผลิตอะไหล่เค้าเลิกทำอะไหล่ให้รถยนต์น้ำมันแล้วสิครับ ถ้าอยาก stay safe ก็ลองทำตาม market trend ของโลกคือ อย่าเพิ่งซื้อรถใหม่กันเถอะครับ หรือถ้าคิดจะซื้อเพื่อมาขับ grab หรือ taxi ก็กัดฟันซื้อไปก่อนเถอะครับ ^^
ส่วน Tesla Gigafactory 3 ที่จีนนั้นกำลังผลิตโหดเหี้ยมมาก สามารถผลิตรถยนต์ได้ที่ 5 แสนคันต่อปี เทียบเท่ากำลังผลิตรถยนต์ในไทยประมาณ 22 % เอิ่มอัตราส่วนขนาดนี้ฆ่ารถยุโรปตายหมดแน่นอน
แถม BMW ก็จับมือกับ yasa ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัวภายในปี 2025 น่ะครับ โดยจะเปิดตัว BMW i4, BMW iNEXT, BMW iX3, MINI ELECTRIC ในปี 2025 ด้วย
เอิ่ม ถ้าทุกคนพุ่งเข้าหารถยนต์ไฟฟ้าแบบ แล้ว Toyota ทำไม่ได้อย่างที่พูดจริงๆ พวกคุณก็ยังไม่ควรลงทุนในรถยนต์น้ำมันครับ เพราะยังมีค่ายรถอีกหลายเจ้าจะรวมกินโต๊ะจีนพี่โตอย่างแน่นอน
อย่าเพิ่งเชื่อผมครับ เก็บโพสนี้เอาไว้อ่านปลายปีนี้น่ะครับ ถ้าโพสนี้ไม่มีความเป็นจริงเหลืออยู่เลยก็แจ้งมาตอนปลายปีนี้ครับ
ผมจะทำการปิดเว็บไซต์นี้ซะ ถือว่า ผมมาผิดทางเนอะ แล้วทำให้ทุกคนเข้าใจผิดเรื่องทิศทางdemand ของรถยนต์ ในตลาดโลก
แต่ถ้าเป็นอย่างที่ผมพูด พวกคุณก็กำไรกันทุกคนเพราะ save (ประหยัด)เงินไปได้หลายแสนบาทเลย เพราะจากการคาดการณ์ของ Bloomberg และ CNN แล้วเค้ามองว่า ราคารถยนต์น้ำมันจะถูกลงมากกว่า 22 % ภายในปี 2025 เพราะรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในตลาดเยอะเกินไปทำให้รถยนต์น้ำมันต้องลดราคาสู้น่ะครับ อ้าว 22% ของราคารถนี่มันมากกว่า 1 แสนบาทหรือป่าวน้าาาาา
สนทนากันต่อได้ที่ : https://www.facebook.com/blinkdrive555