ก่อนอื่นเลย ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เขียนบทความข่าวเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าจากบริษัทโตโยต้า ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า พี่โตตัดสินใจเปลี่ยนแผนการณ์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากที่เคยคุยกันเอาไว้ว่าจะเริ่มผลิตปี 2030 เปลี่ยนมาเป็นปีหน้าแทนน่ะครับ
โตโยต้าวางแผนจะสร้างยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในนิยามของตนเองที่รวมไปถึง รถยนต์น้ำมัน hybrid, รถยนต์ไฟฟ้า plug-in hybrid, รถยนต์ไฟฟ้า EV, และก็รถยนต์ไฟฟ้า fuel cell ให้ได้ถึง 5.5 ล้านคันภายในปี 2025

ประธาน Vice President ของ toyota แผนก R&D ชื่อ Shigeki Terashi ได้ประกาศ roadmap อันใหม่ ณ วันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า “ตอนเดือน ธันวาคม ปี 2559 นั้นพวกเราเคยวางแผนว่าจะผลิตและเริ่มขายรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030 หรือ พ.ศ. 2573 ต้องเอามาปรับปรุงแผนการณ์ทั้งหมดใหม่น่ะเพราะโลกเราหมุนเร็วกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้”

โดยคุณ Shigeki Terashi ยังบอกอีกว่า บริษัทเรามีศักยภาพที่ซ่อนอยู่เอาไว้อีกเพรียบ บริษัทเรากำลังเตรียมการเปิดตัว solid state battery สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในบริษัทของเราภายในงานโอลิมปิค ณ เมืองโตเกียวภายในปีหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้จะเหนือกว่า แบตhybrid หรือ แบตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปในท้องตลาดอย่างแน่นอนครับ โดยตัวแบต solid state นั้นจะถูกสร้างออกมาให้เบากว่า, เก็บประจุไฟได้มากกว่า, ปลอดภัยกว่า,และสามารถนำมารีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

มารอบนี้คุณ Terashi แกเอาจริงน่ะครับเพราะแกพูดเอาเองว่า
“Wanting to make an effort is not enough. You really should be able to deliver,”
แปล – บอกผู้อื่นว่าเราพยายามสร้างมัน มันไม่เพียงพอหรอก…. คุณต้องสร้างออกมาขายให้ได้จริงๆ ต่างหาก
“If possible, by the time we have the Olympic games next year, we would like to make sure that a solid-state battery can be unveiled to the public,”
แปล – ถ้าเป็นไปได้ พวกเราจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมแบต solid-state สู่สาธารณชนภายในงานโอลิมปิคปีหน้าเลย

คุณ Shigeki Terashi ยังบอกอีกว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่กันแน่นอนเพราะตอนนี้เรามาไกลเกินกว่าผู้ผลิตรายอื่นแล้ว

นอกจากนี้ toyota ยังแง้มบอกอีกว่า ปีหน้าเราจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า BEV (ถ้าผมพูดคำว่ารถยนต์ไฟฟ้า ผมหมายถึงรถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ ครับ ไม่ใช่รถยนต์น้ำมันhybridอะไรทั้งนั้นครับ) อีก 10 รุ่นพร้อมกันทั่วโลกภายในต้นปี 2020 ซึ่งจะแถมรุ่น Ultra-compact ซึ่งมีที่นั่ง 2 ที่, วิ่งได้ 100 km ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ลงสู่ตลาดรถยนต์ทั่วโลกด้วยครับ
Toyota ได้เปิดเผยว่า ปีหน้านี้จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าป้อนสู่ตลาดทั้งหมด 6 section (หมวดหมู่) คือ SUV 7 ที่นั่ง, SUV 5 ที่นั่ง, CUV (Cross Over) , รถตู้, รถเก๋งซีดาน 4 ประตู, และรถเก๋งขนาด compact 4 ประตู

แต่เดี๋ยวก่อนครับ Toyota บอกว่า ไม่ทิ้งเทคโนโลยี hybrid ใน prius แน่นอน เพียงแต่จะ focus ไปที่รถยนต์ไฟฟ้าก่อนเนื่องจาก ข้อจำกัดเรื่อง emission ที่ยุโรปและจีนนั้นหนักมากๆ ทาง Toyota ไม่สามารถขายรถยนต์น้ำมันให้แก่ประเทศพวกนี้ได้อีกแล้ว
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota ในปีหน้านี้จะอยู่ภายใต้ e-TNGA(Toyota New Global Architecture) modular platform ทั้งหมดเลย เรียกได้ว่า ยกเครื่องกันมันแน่นอนเพราะบริษัทภายใต้ Toyota ก็จะลุยเปลี่ยนด้วยเหมือนเช่น Subaru, Mazda, Suzuki, และ Daihatsu ครับ

นาย Akira Marumoto ซึ่งครองตำแหน่ง CEO Mazda นั้นได้ออกมาเปิดเผยแผนการณ์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ mazda ว่า จะส่งรถยนต์ไฟฟ้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2020 และปี 2021 แน่นอนเพราะตอนนี้ยุโรปคุมเข้มเรื่อง มลพิษ(emission) อย่างมาก อ่านต่อได้ที่ electrek
ที่มา : europe.autonews.com
BLINK DRIVE TAKE
เชดโด้ บอกเลยครับว่า วิสัยทัศน์พี่โตนี่ไม่ธรรมดาจริงๆครับ เล่นกระโดดข้ามจาก Ni-MH เป็นไปเป็น solid state battery เลย ถ้าพี่โตเปิดตัวแล้วทำได้จริงอย่างที่พูดเอาไว้รับรอง Tesla เจ๊งแน่นอนครับ เพราะ lithium-ion นั้นมี life cycle ของ battery อยู่ที่ 1,500 รอบ, ส่วน Ni-MH มี life cycle อยู่ที่ 500-700 รอบเท่านั้น นี่พี่โตหนีมาใช้ solid state battery ซึ่งมีแหล่งข่าวบอกว่า ทำ life cycle ได้ถึง 50,000 รอบสบายๆ เรียกได้ว่า ขับไป 1 ล้าน km แล้วแบตยังไม่เสื่อมเลยครับ แถมเบากว่า lithium-ion อีกด้วย ส่วน Ni-MH นี่ตัดออกไปไกลๆ เลยครับ หนักก็หนักแถมค่าผลิตแพงกว่า Li-ion มานานมากแล้ว

ถ้าพี่โตกระโดดไปเล่น solid state battery จริงๆ แล้วสามารถทำ mass production (ผลิตในจำนวนเยอะ) ออกมาได้แล้วล่ะก็ ถึงคราวอวสานรถยนต์น้ำมันกันพอดีครับ เพราะผมคิดว่าพี่โตนั้นทำรถออกมาได้ปริมาณเยอะกว่าทุกเจ้าบนโลกอยู่(ไม่นับ Volk swagen น่ะครับ เจ้านี้ของจริงผลิตที่สุดในโลก) แถมรถยนต์ของพี่โตทุกคันนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลย ทำรถออกมาได้น่าใช้ที่สุดในโลกทำให้แบร์นโตโยต้าจึงเป็นแบร์นค้ำฟ้าของโลกใบนี้ครับ

แต่เดี๋ยวก่อนสิ ได้ข่าวว่า พี่โตเพิ่งเปิดโรงงานผลิตแบตรถยนต์น้ำมัน hybrid ไปที่โรงงานประกอบรถยนต์ โตโยต้า เกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรานี่หว่าแล้วทราบมาว่า เทคโนโลยี solid state battery นั้นใช้แหล่งการผลิต, ขั้นตอนการผลิตคนล่ะอย่างกับ นิเกิลเมทัลไฮดราย เลยนิครับ
ในขนาดที่ต่างประเทศเกือบทุกประเทศบนโลกหนีไปใช้ solid state battery , ผมหวังว่า พี่โตที่ไทยได้วางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แล้วน่ะครับ
ก่อนจากกันนี้ ผมได้พาคุณทัวร์ไปรอบๆ โลกแล้วเนอะว่า โลกเค้าหมุนไปทางไหนกัน ตอนนี้ค่ายรถยนต์ทุกค่ายบนโลกต่างวิ่งเข้าหาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากันแทบทั้งสิ้น ยังไงก็ตามผมขอฝาก กราฟยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของค่าย tesla เปรียบเทียบกับรถยนต์น้ำมันค่ายอื่นๆในอเมริกาเอาไว้ดูต่างหน้าก็แล้วกันน่ะครับ ถ้า tesla ยังทำยอดขายแบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายใน 2-3 ปีข้างหน้าในอเมริกาครับ

ส่วนด้านล่างนี้เป็นยอดขายรถยนต์แค่เดือนธันวาคมปี 2561 ณ ประเทศอเมริกาน่ะครับ เทสล่า โมเดล 3 ได้ครองแชมป์อันดับ 3 สบายๆ ครับ

แล้วอย่าลืมน่ะครับ อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ได้เพราะ demand จากประเทศใหญ่ๆ บนโลก เช่น อเมริกา, ยุโรป, ออสเตเรีย, แคนาดา, และจีน อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยไม่ได้พึ่งพาคนในประเทศเป็นหลักครับ ดังนั้นถ้าอนาคตยุโรป, อเมริกา, จีนและอินเดียเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมด ที่ไทยจะเอารถไปขายใครได้บ้างครับ?

ที่มา : https://www.mmthailand.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-4-0/
ฝากเอาไปเป็นการบ้านน่ะครับว่า ถ้าคุณรู้ว่า iphone กำลังเข้าไทย คุณจะหันไปซื้อ Nokia N95 มาใช้ไหม เชื่อว่าช่วงแรกคนยังไม่เข้าใจใน iphone เลยซื้อ nokia N95 มาใช้แต่พอเวลาผ่านไป 3-5 ปี กลายเป็นว่า ทุกคนถอย iphone หรือ android phone มากันหมดเลย

ผมแค่ให้คิดตามน่ะครับ ผมเพียงแค่นำ market trend ของโลกมาให้คุณวิเคราะห์ครับแล้วตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ถ้าคุณเป็นนักลงทุนคุณจะไปลงทุนกับบริษัท Nokia ที่ไม่ยอมหมุนตามโลกหรือคุณจะไปลงทุนกับ Apple ที่กำลังผลิตสินค้าเปลี่ยนโลกกันครับ