CEO ของบริษัท Rolls -Royce ออกมากล่าวยอมรับว่า ที่ทุกวันนี้บริษัทของเรารอดตายมาได้เพราะยังมี BMW คอยหนุนหลัง ช่วงหลังมานี้ เทคโนโลยีรถยนต์พัฒนาไปเร็วมากๆ เช่น ระบบ self-driving, ระบบขับเคลื่อนยานยนต์ในรูปแบบไฟฟ้า, และกฎเกณฑ์ต่างๆในแต่ล่ะประเทศที่ต้องการคว่ำบาตรรถยนต์น้ำมัน (ICE Car) ทำให้บริษัทของเราเคลื่อนตัวลำบากยิ่งขึ้น
อีก 10 ปีจากนี้
Rolls Royce จะเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า
ยิ่งบริษัทของเรา เป็นบริษัทขนาดเล็ก ลูกค้าก็มีแค่ไม่กี่กลุ่ม ดังนั้นการพัฒนาอะไรก็เป็นเรื่องที่ sensitive มากยิ่งขึ้น ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการพัฒนารถยนต์ให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เฉกเช่น คู่แข่ง
Rolls-Royce จึงวางแผนปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตรถยนต์ทั้งหมดให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายใน 10 ปีหลังจากนี้แน่นอน
“ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า Rolls Royce นั้นวางแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแน่นอน แต่อาจจะเป็น 10 ปีหลังจากนี้ ซึ่งผมมองว่า ระยะเวลา 10 ปีนี้สั้นิดเดียว สิ่งที่ Rolls Royce ทำตอนนี้คือ พยายามศึกษาและพัฒนาโปรเจคระบบชาร์จไฟทั้งในบ้านเรือน(home) และ ที่สาธารณะ(public charging) เพื่อจะนำมาใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้า Rolls Royce ” – นาย Torsten Muller-Otvos [CEO Rolls Royce] ได้กล่าวเอาไว้
ที่มา : BMWBLOG
รถยนต์ไฟฟ้า Phantom 102EX เมื่อปี 2554
เมื่อปี 2011 (2554) Rolls Royce ได้ทำการจับรถ Phantom ของตัวเองเปลี่ยนโฉมเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Phantom 102EX
สเปครถยนต์ไฟฟ้า Phantom 102EX
- แบตเตอร์รี่ขนาด 850 amp ที่ 338 volts หรือ 287 kWh(เยอะมากครับ)
- ระบบขับเคลื่อน : มอเตอร์ 2 ตัว ประกบล้อหลัง ทั้งซ้ายและขวา ขนาด 145 kW(194 แรงม้า)
- ความแรง 388 แรงม้า(194 แรงม้าต่อมอเตอร์ 1 ตัว)
- แรงบิด 590 ft·lb
- อัตราเร่ง 0-100 km/h = 8 วินาที
- Top Speed สูงสุด : 160 km/h
- วิ่งได้ 124 ไมล์(198 km) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- ระยะเวลาชาร์จไฟ : 8 ชั่วโมง(ไฟ 3 เฟส), 20 ชั่วโมง(ไฟ 220 V)
ที่มา : BMWBLOG
BLINK DRIVE TAKE
เป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างมาก ที่ Rolls Royce จะเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก V12 ที่ตัวเองลงทุนพัฒนาและสรรสร้างมาอย่างยาวนาน เป็นระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด
โดย รถยนต์ไฟฟ้า Phantom 102EX ซึ่งเป็นรถนำร่องของ Rolls Royce คันนี้ได้ถูกเอามาจัดโชว์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว คุณต้องอย่าลืมน่ะครับว่า รถยนต์ Rolls Royce นั้น เฟอร์นิเจอร์เยอะมากๆ แค่น้ำหนักตัวรถไป 3,000 กิโลกรัมแล้ว การที่จะสร้างมอเตอร์และแบตที่สามารถพายานยนต์ที่หนักขนาดนี้ขับเคลื่อนออกไปได้นั้นเป็นเรื่องท้าทายสำหรับ Rolls Royce มากๆ ที่ผ่านมา พี่แกเน้นพัฒนาเครื่องยนต์ V12 ที่แรงและกินน้ำมันอย่างมากทำให้รถขับเคลื่อนได้อย่างอิสระ แต่หารู้ไม่ว่า Rolls Royce Ghost นั้นกินน้ำมันอยู่ที่ 10 km ต่อลิตร เพราะที่ผ่านมา คนรวยเค้าไม่ได้เอาข้อมูลนี้มาโชว์ให้เราไงครับ การที่ทำแบตขนาด 287 kWh แล้วสามารถขับเคลื่อนได้ 200 km แบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาไปเลยเพราะตัวรถหนักมากๆ
ตอนนี้ Rolls Royce ไม่สามารถเดินเกมส์เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว เพราะทวีปยุโรปจะแบนรถยนต์น้ำมันภายใน 10 ปีนี้แล้ว ถ้าไม่รีบทำรถยนต์ไฟฟ้าออกมา กลัวว่า Rolls Royce จะกลายเป็น Kodak 2 แห่งทวีปยุโรปน่ะครับ จะเอาไปขายเศษรฐีที่ประเทศอื่นหรอ คุณก็คิดตามผมสิครับว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วทุกประเทศออกกฏหมายมา คว่ำบาตรรถน้ำมัน เช่น จีน, อเมริกา, ออสเตเรีย, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เกาหลี, อินเดีย,และ ประเทศทุกประเทศในยุโรป
แล้ว Rolls Royce จะเอารถไปขายหมีที่ไหนล่ะครับ ถ้าตัวเองไม่เปลี่ยนรถยนต์ของค่ายตัวเองเป็นรถยนต์ไฟฟ้า นับเอาเองล่ะกันน่ะครับว่า ลูกค้าคนรวยจะเหลือเพียงกี่ประเทศเชียว แล้วคิดว่า คนรวยเป็นคนโง่หรอครับ ที่ต้องซื้อรถยนต์ V12 ที่มากไปด้วยการบำรุงรักษาแถมปล่อยมลพิษให้ชาวบ้านด่าเล่นๆแบบนี้มาขับ
ตอนนี้รถยนต์เค้าไม่ได้วัดแค่ความหรูหราอย่างเดียวแล้ว แต่เค้าวัดกันด้วยระบบ self-driving และ เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเหลือการเดินทาง เช่น GPS, ระบบฟังเพลงในรถ, ระบบควบคุมรถผ่านมือถือ ซึ่ง Rolls Royce สอบตกหมดเลย แถมด้านสิ่งแวดล้อมที่ตอนนี้ยุโรปซีเรียสมากๆ กับเรื่องนี้ Rolls Royce ก็สอบตกเช่นกัน ทำให้เค้าต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการสร้างรถอย่างเร่งด่วนแหละครับ
Rolls Royce ในวันนี้เหมือนมือถือ Vertu ไม่มีผิด ถ้าไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบริษัทตัวเองจะหายไปแบบ Vertu แน่นอนครับ ซึ่ง CEO เค้าก็เป็นคนตัดสินใจไวจริงๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงบริษัทซะแล้ว ด้วยการศึกษาแผนการณ์เรื่อง self-driving (ระบบขับรถอัตโนมัติ) และ electric power train(ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า) อย่างจริงจัง เชื่อว่า อีก 5 ปีต่อจากนี้ Rolls Royce จะคลอดรถยนต์ไฟฟ้าออกมาสู่ตลาดได้แน่นอน
