Site icon Blink Drive

หมัดต่อหมัดระหว่าง “รถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์น้ำมัน” [ICE Car Vs. EV Car]

บทความนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลของผมเองจากเว็บต่างๆ ดังนั้น ผมขอสรุปข้อแตกต่างเป็นหัวข้อดังนี้

1.ค่าเชื้อเพลิง

คำนวณจากระยะทาง 13,000 ไมล์ หรือ 20,800 km
405 เหรียญ = 12,960 บาท
1,152 เหรียญ = 36,864 บาท
คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์

อย่างที่รู้กันอยู่แล้ว รถยนต์ไฟฟ้านั้นใช้ไฟในการไปหมุนมอเตอร์เพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้า หรือ ถอยไปด้านหลัง ดังนั้น ค่าเชื้อเพลิงจึงไปพ่วงกับค่าไฟ

ส่วนรถยนต์ ICE หรือเครื่องยนต์สันดาปนั้นใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน

ผมจะลองจำลองการใช้งาน 80,000 km แรกว่า ต้องเสียน้ำมันไปเท่าไหร่น่ะครับ

รถ toyota camry กินน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 30 mpg(miles per gallon) , โดยคำนวณจากน้ำมันราคา $2.4 /gallon หรือ 20.84 บาทต่อลิตร
อัตราค่าใช้จ่ายต่อไมล์คือ $ 0.08 / miles หรือ 2.64 บาทต่อกิโลเมตร
ใช้งานไปทั้งหมด 50,000 ไมล์ หรือ 80,000 กิโลเมตร  = 50,000 x 0.08 = $4,000 หรือ 132,000 บาท

รถ honda civic กินน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 32 mpg(miles per gallon) , โดยคำนวณจากน้ำมันราคา $2.4 /gallon หรือ 20.84 บาทต่อลิตร
อัตราค่าใช้จ่ายต่อไมล์คือ $ 0.075 / miles หรือ 2.475 บาทต่อกิโลเมตร
ใช้งานไปทั้งหมด 50,000 ไมล์ หรือ 80,000 กิโลเมตร = 50,000 x 0.075 = $3,750 หรือ 132,750 บาท

tesla model 3 กินไฟอยู่ที่ 23,7 kWh/100 miles หรือ 160 km
ค่าไฟฟ้าที่บ้านผม(รัฐ texas) = $0.1 หรือ 10 cent หรือ 3.3 บาทต่อหน่วย 
อัตราค่าใช้จ่ายต่อไมล์คือ $0.0237 / miles หรือ 0.78 บาทต่อกิโลเมตร
ใช้งานไปทั้งหมด 50,000 ไมล์ หรือ 80,000 กิโลเมตร = 50,000 x 0.0237 = $1,185 หรือ 39,105 บาท

2. ค่าบำรุงรักษา

ผมขอพูดในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าก่อนน่ะครับ ว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีเครื่องยนต์หน้าตาเป็นแบบนี้

ส่วนอันนี้คือ ระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ ICE หรือเครื่องยนต์สันดาปครับ

นับเอาเองน่ะครับว่า มีกี่ชิ้น แล้วถ้าชิ้นไหนเสีย จะเดินไปบอกให้ช่างซ่อมให้ หรือ แกะมาซ่อมเองแบบด้านบนดีครับ?

ถ้ายังนับไม่หมดตามผมมาครับ เดี๋ยวผมเอา presentation ที่คนนับเสร็จแล้วมาโชว์ให้ดูครับ

มีคนนับมาให้แล้วว่า รถยนต์สันดาบหรือ ICE Car นั้นมีส่วนประกอบในการที่จะทำให้รถขับเคลื่อนมากกว่า 2,000 ชิ้น ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Car นั้นมีแค่ 18 ชิ้นเท่านั้น

คราวนี้ ผมขอเอาตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายการซ่อมของรถแต่ล่ะยี่ห้อในอเมริกามาให้ดูหน่อยน่ะครับ

รูปภาพ : ตารางค่าซ่อมบำรุงของรถแต่ล่ะยี่ห้อ

ต่อให้ผมซื้อรถที่ดีที่สุดแค่ไหนก็ตาม ผมก็ยังต้องซ่อมรถพวกนั้นเป็นเงินมากกว่า 50 เหรียญ(1,500 บาทต่อปี) นี่ยังไม่รวมค่าน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, ของเหลวสารพัดอีกมากกว่า 100 เหรียญ(3200 บาท)ต่อปี

ถ้าผมใช้รถ Toyota เป็นเวลา 5 ปี อย่างต่ำผมต้องเสียเงินไปกับค่าบำรุงรักษาเครื่องประมาณ 24,000 บาท นี่ยังไม่รวมค่ายางรถหรือยางปัดน้ำฝนน่ะครับ

ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model 3นั้น ฟรีค่าซ่อมบำรุง 8 ปีแรกหรือ 160,000 km แรก

หรือต่อให้ผมใช้รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf 40 kWh ที่อเมริกาก็ได้ประกันมา 5 ปี ฟรีๆ หลังจากนั้น ผมยังสามารถขับได้ต่อเพราะประกันแบตอยู่ที่ 100,000 ไมล์ หรือ 8 ปี

เรียกได้ว่า 8 ปีแรก ผมได้แค่นั่งมองรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่ได้ซ่อมมันเลย เอาเข้าศูนย์เชคสภาพทุกๆ 12,000 ไมล์หรือ 19,200 km เรียกได้ว่า ผมสามารถประหยัดเวลาเข้าศูนย์ได้มากกว่า รถ ICE ถึง 3 เท่าตัว

3.สิ่งแวดล้อม

ยังเป็นที่ถกเถียงกันทุกวันนี้ว่า พลังงานไฟฟ้าที่นำมาชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้นมาจากไหนกันบ้าง

อันนี้เป็นพายกราฟของประเทศอเมริกา ซึ่งถ้ามองจากภาพนี้ จะเห็นได้ว่า พลังงานไฟฟ้านั้นมาจากถ่านหินน้อยมาก 14% เอง ผมขอชมว่า ประเทศเค้าแน่มากๆ ที่เอาพลังงานจากถ่านหินมาน้อยมากๆ

คราวนี้มาดูกันว่า นำไปจะให้อะไรกันบ้าง ซึ่งถ้ามองกันดีๆ คือ ไฟฟ้าจาก น้ำมันนั้นถูกส่งเข้าไปยัง Transporation (การคมนาคม) ถึง 92 % แต่เอาเข้าจริงๆ น่ะครับ การคมนาคมที่ว่านี้คือรถรางไฟฟ้าครับ ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้า เพราะการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกา กินไฟแค่ไม่ถึง 2% ของไฟฟ้าทั้งประเทศ ดังนั้น ถ้าเรา maintain(ดูแล)กราฟนี้ดีๆแล้ว อนาคตรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะเป็นพลังงานสะอาด 100 % ก็ได้

คราวนี้มาดูกันว่า ถ้ารถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน 100 % จะสร้างมลพิษเท่าไหร่กัน?

ผมจะคิดค่าการปล่อยไอเสียเป็นแบบ worst case scenario เลยนะครับ คือใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าทั้งหมดนี่แหละครับ

ที่มา : engineeringtoolbox

สูตร : ถ่านหิน 1 kWh สามารถปล่อยคาร์บอนได้ 280 กรัม, รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 วิ่ง 100 km ใช้ไฟฟ้าประมาณ 11.9 kWh หรือเรียกได้ว่า 1 km ใช้ไฟ 0.12 kWh

ดังนั้นระยะทาง 1 km ของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 สามารถสร้างคาร์บอนออกมาได้ 33.6 กรัม/km

สูตร : 0.12 x 280 = 33.6 กรัม

ระยะทาง 1 km ของรถยนต์น้ำมัน Honda Civic สามารถสร้างคาร์บอนออกมาได้ 186 กรัม/km

ที่มา : steelhonda

ส่วนต่างอยู่ที่ 152 กรัมหรือ รถยนต์ไฟฟ้าสามารถลดการปล่อย carbon ได้ถึง 81 %

คราวนี้ ถ้ารถยนต์ 2 ประเภทนี้วิ่งไปด้วยระยะทาง 100,000 miles หรือ 160,000 km เท่ากับว่า รถยนต์ไฟฟ้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อคไซด์ได้ถึง 15 ตัน เยอะน่ะครับ คิดดูว่า ถ้ามีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งในไทยมากกว่า 100,000 คัน โดยรถแต่ล่ะคันวิ่งเฉลี่ยที่ 10,000 miles หรือ 16,000 km แล้วล่ะก็ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 จะลดการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อคไซด์ได้ถึงปีล่ะ 1.5 แสนตันเลยทีเดียวซึ่งอเมริกามีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 1 ล้านคันแล้ว คิดเอาเองว่า พวกเค้าได้ประโยชน์มากขนาดไหน

4. เทคโนโลยี

มีรถคันไหนบนโลกมั้งที่สามารถยัดเทคโนโลยีเหล่านี้ได้โดยที่ราคาไม่เกินตัวจนเกินไป ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ ICE เสียต้นทุนไปกับการสร้างเครื่องยนต์และสร้างพื้นที่การออกแบบภายในหลายส่วนไปกับการเดินระบบเครื่องยนต์หมดแล้ว พอจะเอาอุปกรณ์เช่น sensor รอบคัน, หน้าจอยักษ์, CPU A.I. หรือระบบ auto pilot มาใส่ในรถ ก็ทำให้เพิ่มต้นทุนอย่างมหาศาล แถมระบบพวกนี้ก็กินไฟมากๆ ด้วย ครั้นจะใช้แบต 12 Volt ที่ติดมากับรถจ่ายไฟให้ระบบพวกนี้ตอนไม่ใช้งานก็ดูจะไม่เพียงพอ ก็เลยต้องเขยิบสร้างแบตเล็กๆเอาไว้ในรถเพื่อเลี้ยงไฟอุปกรณ์พวกนี้

ข่าว GM ไล่พนักงาน14,700 คนออกเพราะเปลี่ยนไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทน

GM รู้ว่าการทำแบบนี้ เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตนหรือป่าว จึงปล่าวประกาศเลยว่า รถยนต์ ICE นั้นมันดึกดำบรรพ์เกินไปแล้ว เปลี่ยนไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแข่งกับ Tesla ดีกว่า ไล่ทุบโรงงานผลิตรถยนต์ทิ้ง 2 โรง และทำการจ้าง โปรแกรมเมอร์มาเขียน โปรแกรม Autonomous Driving แทน เพื่อไล่ตามเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ทัน

ส่วนเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามายังรถยนต์ไฟฟ้าก็มี

  1. OTA (Over The Air) Update หรือ การ update ผ่าน 4G LTE

2.Autonomous Driving ระบบขับขี่เอง

วิดีโอ : Autopilot ของ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla

5. ตรวจเชคสภาพรถผ่าน wifi หรือ 4G LTE

ช่าง Tesla สามารถตรวจสอบรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ผ่าน App เหมือนการ remote เข้ามายังรถคุณแล้วทำการตรวจสอบทุกอย่าง ทำให้รถคันนี้กลายเป็น computer ไปเลย

6. ตรวจสอบหรือควบคุมรถผ่าน App ในมือถือ

วิดีโอ : สาธิตการใช้งาน รถยนต์ไฟฟ้า tesla ผ่าน app

Blink Drive Take

ผมเพียงเอาข้อเปรียบเทียบหลักๆ ระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ ICE มาเปรียบเทียบให้ดูน่ะครับ ว่า ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้านั้นเรียกได้ว่า ชนะใจคนได้เลย แต่ที่ยังไม่บูมเพราะยังไม่มีผู้ผลิตรายใดผลิตรถออกมาขายทันน่ะครับ ส่วนผู้ผลิตรถยนต์ ICE บางส่วน ย้ำว่า บางส่วน ยังไม่อยากกระโดดมาเล่นเกมส์นี้หรือป่าวครับ ?

ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้ที่ผมเห็นคือ ชาร์จไฟนาน ซึ่งผมเคยพูดเรื่องชาร์จเร็วเอาไว้แล้วในกระทู้ pantip

ใจความหลักๆ คือ ชาร์จไฟนั้นมีทั้งหมด 3 level (ไฟบ้าน 110 Volts, ไฟบ้าน 240 Volts และ ชาร์จไฟจากสถานีชาร์จไฟทั่วไป)

แต่ผมมองว่า การชาร์จไฟเพื่อใช้งานรถในแต่ล่ะวันนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไปแล้ว ครั้นจะเอารถยนต์ไฟฟ้าไปเที่ยวไหนในประเทศอเมริกาก็เป็นไปได้ เพราะระบบชาร์จไฟนั้นมีทั่วประเทศ สิ่งที่ประชาชนรออนนี้คือ ราคารถที่ต้องทำให้ถูกลงให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถครองใจประชาชนคนอเมริกาได้อย่างแท้จริง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าที่ดีและสามารถเอื้อมถึงก็มี Nissan Leaf ที่คันล่ะ 29,000 เหรียญหรือ 928,000 บาท

ถึงยังไงก็รอดูปีหน้านี้น่ะครับว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาจะถูกลงไปอีกเท่าไหร่กันเชียว

Stay tune, stay with BLINK DRIVE

Exit mobile version