ก่อนอื่นเลยรถคันนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าน่ะครับ กลับกลายเป็นว่า ช่วงหลังๆ รถยนต์ไฟฟ้าแต่ล่ะค่ายไล่ทุบสถิติรถยนต์ ICE ไปทั่วเลยครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า รถคันนี้มีอะไรดีบ้าง
ประวัติความเป็นมาของ Rimac Concept Two
รถคันนี้ออกแบบโดยบริษัทสัญชาติโครเอเชีย ชื่อ Rimac Automobili บริษัทถูกก่อตั้งในปี 2009 โดยนาย Mate Rimac บริษัทได้ออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่เร็วที่สุดในโลกตอนนั้นชื่อ Rimac Concept One ในปี 2013 ด้วยความที่เป็นบริษัทที่ได้เงิน support จากหลากหลายนักลงทุน รวมถึง porsche ที่ถือหุ้นในบริษัทอยู่ 10 % ถ้าในอนาคต porsche จะแยกตัวมาทำรถยนต์ไฟฟ้า จงจำเอาไว้เลยครับ ว่า porsche ไปไกลกว่า ค่ายรถยุโรปค่ายอื่นแน่นอนเพราะไล่ซื้อเทคโนโลยี เหล่านี้เอาไว้หมดแล้ว
ส่วนบริษัท Koenigsegg, Aston Martin, Jaguar Land Rover, and Renault, Siemens และ Magna Steyr เข้ามาร่วมมือกันสร้างสรรค์รถคันนี้ขึ้นมาน่ะครับ
รถคันแรกที่บริษัท Rimac ผลิตออกมาคือ Rimac Concept One (1,500 แรงม้า) นั้นผลิตออกมาแค่ 8 คันเอง และทั้ง 8 คันนั้นไม่ได้ขายให้ใครอื่นเลยนอกจากกรรมการบริษัท ผมเชื่อว่า มีคนเขียนเกี่ยวกับ Concept One เอาไว้เยอะมากแล้ว ผมข้ามเรื่องราวเกี่ยวกับ Rimac Concept One ไปเลยน่ะครับ
รถ Rimac Concept Two เป็นรถคันที่ 3 ที่บริษัทผลิตออกมาน่ะครับ (คันที่สองชื่อ Rimac Concept S ผลิตออกมาแค่ 2 คันปี 2016) รถ Rimac Concept Two จะผลิตออกมาทั้งหมด 150 คัน และขายใบจองหมดไปตั้งแต่ 3 อาทิตย์แรกที่เปิดตัว รถคันแรกจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าที่จองภายในปี 2019 นี้
เรื่องความแรงนั้น รถคันนี้ แรงและเร็วที่สุดในโลกน่ะครับ (ผมเอาสเปคไว้ด้านล่างนี้น่ะครับ) ส่วนเรื่องราคาก็แรงเหมือนกันครับ 2 ล้านเหรียญ
เทคโนโลยี Rimac Concept Two
รถRimac Concept Two ติดตั้งกล้องรอบคันทั้งหมด 8 ตัว, อุปกรณ์เลเซอร์ตรวจจับวัตถุระยะไกล lidar, เรดาร์ตรวจจับวัตถุรอบคันทั้งหมด 6 ตัว, เซนเซอร์ใช้คลื่นอัลตร้าโซนิกส์ทั้งหมด 12 ตัว , IMU sensor และ GPS รวมๆ แล้วรถคันนี้มี sensor (อุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณต่างๆ) ประมาณ 400 ตัว อุปกรณ์เหล่านี้ ฝังไปในตัวรถสำหรับรองรับระบบ autpilot หรือ ระบบขับเคลื่อนเองได้ เรียกได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้เป็นรถที่ hi-tech ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
รถคันนี้ยังออกแบบมาให้รองรับ A.I.(หุ่นยนต์สมองกล) และระบบ ADAS(Advanced driver-assistance system) ที่เป็นระบบที่ประมวลผลขนาดเสี้ยววินาทีว่า อีก 1 เสี้ยววินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเช่น รถข้างหน้าเริ่มวิ่งออกไหล่ทาง , adas จะแจ้งเตือนเราทันทีว่า ข้างหน้ากำลังจะสร้างปัญหาให้เราน่ะ หรือ กวางวิ่งออกมาจากป่าและกำลังวิ่งตัดหน้ารถ ADAS จะแจ้งเตือนตั้งแต่กวางทำท่าจะวิ่งมาหารถเราเลย หรือ เรากำลังขับรถผ่านแยกไฟแดง แต่มีรถพุ่งทะลุไฟแดงมา ADAS ก็จะแจ้งเตือนเราแบบทันที
ยังไม่จบแค่นั้นครับ รถคันนี้มี CPU ขนาด 64.4 GHz หรือเทียบเท่าหน่วยประมวลผลของ macbook pros รวมกันทั้งหมด 22 เครื่อง CPU ของรถคันนี้ออกแบบมาเพื่อประมวลผลข้อมูลการขับขี่ในอัตรา 6 GB ต่อชั่วโมง , และ 6 PB(petabytes) ต่อ 1,000 ชั่วโมง
เรียกได้ว่า อนาคตแล้ว ADAS นั้นจะต้องมีบทบาทอย่างใหญ่หลวงในการสร้างรถแน่นอนครับ
Battery
แบต Lithium Manganese nickel cells เก็บประจุได้ 120 kWh โดยให้กำลังไฟออกมาได้สูงสุดที่ 1.4 MW(ล้านวัตถ์) จ่ายไปที่มอเตอร์
การชาร์จเป็น 250 kW แน่นอนว่า ต้องเป็น CSS Combo ตามฉบับรุ่นพี่ ดังนั้นชาร์จแบตเต็ม 80 % ภายใน 30 นาทีเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วๆ ไปแหละครับ
เบรคเป็น Brembo CCMR (Carbon ceramic brake disc) แบบ 6 สูบ หน้า-หลัง เอาจริงๆ เบรคแทบไม่ได้ใช้งานเท่าไหร่หรอกครับ เพราะรถยนต์ไฟฟ้าใช้ มอเตอร์เบรคได้ดีกว่าและดึงไฟเข้าแบตได้ด้วย เรียกได้ว่า ตัวเบรคนั้นเอาไว้ประดับรถครับ เป็นแค่ผู้ช่วยเฉยๆ
Spec คร่าวๆ ของรถยนต์ไฟฟ้า Rimac C Two
- 0-100 km/h – 1.85 วินาที
- แรงขับเคลื่อน – 1,914 แรงม้า
- แรงบิด 2,300 Nm
- ความเร็วสูงสุด (Top speed) – 412 km/h
- ระบบขับเคลื่อน : มอเตอร์ PM(permanent magnet synchronous electric)
- แบตเตอร์รี่ : 120 kWh LiNiMnCoO2 หรือ Li-ion
- Range(ระยะทางที่วิ่งได้) : 650 km(400 miles)
ขนาดตัวรถ
ฐานล้อ : 2,745 mm
ด้านยาว : 4,750 mm
ด้านกว้าง : 1,986 mm
สูง : 1,208 mm
น้ำหนักสุทธิ : 1,950 kg
ราคา $2,000,000 หรือ 60 ล้านบาท
รถรุ่นนี้ เป็น limited edition :ผลิตแค่ 150 คันเท่านั้น
วางจำหน่ายครั้งแรก ปี 2019
อ้างอิงข้อมูล : Rimac
Blink Drive Take
พูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่แรงและเร็ว ทุกคนจะคิดว่า tesla เป็นที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่สามารถทำรถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลกขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่กลายเป็น Rimac ซึ่งหลายคนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย
ในความเห็นของผมแล้ว ผมยังยืนยันเหมือนเดิมว่า รถยนต์ไฟฟ้ามาเร็วกว่าที่คิดมาก ภายใน 5 ปีนี้ ยุโรปทั้งทวีปจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยเป็นผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ ตอนนี้เป็นผู้ตามไปแล้ว ตาม Tesla ไงครับ เทคโนโลยีต่างๆ ที่มีใน BMW, Benz, Porsche หรือ Rollsroy กลายเป็นของเล่นทันทีที่คนใช้งานเอาไว้เปรียบเทียบกับ Tesla
ถ้าไปสังเกตุดีๆ น่ะครับรถยุโรปตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปต้องมีระบบ lane departure หรือระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน ซึ่งการเป็น standardize(มาตราฐาน)ในการผลิตรถไปเลย ซึ่งปีหน้าสนุกกว่านี้แน่นอนครับ เพราะระบบ autopilot จะมาแทนที่ระบบ lane departure พวกนี้ที่เป็นแค่ hardware เฉยๆ น่ะครับ
อ้างอิงจากความรู้ที่ผมศึกษามาตอนนี้ ผมแนะนำว่า อย่าเพิ่งใจร้อนออกรถใหม่ช่วงนี้เลย ใครซื้อช่วงนี้อาจจะเจ็บหนักสุด เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี รถยนต์หน้าตาธรรมดาต้องเปลี่ยนระบบหลายอย่างเช่น autopilot, จากเครื่องยนต์เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น
ถ้าเป็นผมผมจะซื้อรถคันใหม่อีกที 5 ปีข้างหน้าครับ ถึงตอนนั้นพวกคุณอาจจะได้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นได้